ความแตกต่างระหว่าง Google analytics 4 vs Google analytics 360

ความแตกต่างระหว่าง Google analytics 4 vs Google analytics 360และการนำ features ไปใช้ในแต่ละธุรกิจ

Google Analytics 4 (GA4) และ Google Analytics 360 (GA360) เป็นแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลที่พัฒนาโดย Google เพื่อช่วยให้ธุรกิจติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ทั้งสองแพลตฟอร์มมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน แต่มีความแตกต่างในด้านฟีเจอร์ การใช้งาน และความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล

โดยในบทความนี้เราได้เขียนตัวอย่างความแตกต่างระหว่าง Google analytics 4 vs Google analytics 360และการนำ feature ไปใช้ในแต่ละธุรกิจ ดังนี้

1.เข้าใจเส้นทางการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)

  • Google Analytics 4:
    GA4 ใช้โมเดล event-based ซึ่งช่วยให้สามารถติดตามเส้นทางการเดินทางของลูกค้าได้ในทุกจุดสัมผัส (touchpoints) ตั้งแต่การเข้าชมเว็บไซต์จนถึงการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนแอปพลิเคชัน ด้วยฟีเจอร์ User Explorer และ Path Analysis ผู้ใช้สามารถดูเส้นทางการเดินทางของผู้ใช้ได้อย่างละเอียดและครบถ้วน แต่ยังคงมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์มเข้าด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรม Retail สามารถใช้ Path Analysis ใน GA4 เพื่อตรวจสอบเส้นทางที่ลูกค้ามักใช้ในการตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น จากหน้าแรกไปยังหน้าสินค้า แล้วไปยังหน้าชำระเงิน ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับปรุง UX/UI และกระบวนการขายให้ดีขึ้น
  • Google Analytics 360:
    GA360 นำเสนอเครื่องมือที่ครบครันกว่าในการทำความเข้าใจ Customer Journey ผ่านการวิเคราะห์ Multi-Channel Funnels และ Attribution Modeling ที่สามารถแสดงข้อมูลจากทุกช่องทางได้อย่างละเอียดและแม่นยำ GA360 ยังสามารถรวมข้อมูลจากหลาย Property มาแสดงร่วมกันเพื่อให้เห็นภาพรวมของเส้นทางการเดินทางของลูกค้าในทุกช่องทาง ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรม Retail ช่วยให้ธุรกิจสามารถดูการเชื่อมโยงระหว่างช่องทางต่างๆ เช่น การโฆษณาทาง Facebook, การค้นหาผ่าน Google และการเข้าชมเว็บไซต์ ว่าช่องทางใดมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามากที่สุด ทำให้สามารถจัดสรรงบประมาณโฆษณาได้อย่างเหมาะสม

2.สร้างกลุ่มเป้าหมายแบบละเอียด (Advanced Audience Segmentation)

  • Google Analytics 4:
    GA4 สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายโดยใช้เงื่อนไขที่กำหนดเองตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การเข้าชมหน้าเว็บหรือการทำกิจกรรมบางอย่างในแอปพลิเคชัน แม้จะมีความสามารถในการแบ่งกลุ่มผู้ใช้ที่ดี แต่ความละเอียดและความสามารถในการกำหนดเงื่อนไขที่ซับซ้อนอาจยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างอุตสาหกรรม Healthcare สามารถใช้ GA4 เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมการใช้เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของผู้ป่วย เช่น ผู้ที่เข้าชมข้อมูลเกี่ยวกับโรคหรือการรักษาเฉพาะ หรือผู้ที่ทำการนัดหมายออนไลน์ ซึ่งช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหรือข้อเสนอที่เกี่ยวข้องตรงตามความต้องการของผู้ป่วยได้
  • Google Analytics 360:
    GA360 รองรับการสร้าง Advanced Audience Segmentation ที่สามารถกำหนดเงื่อนไขได้ละเอียดมากขึ้น เช่น การผสมผสานข้อมูลจากหลาย Property หรือการใช้เงื่อนไขที่ซับซ้อนเพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างอุตสาหกรรม Healthcare GA360 ช่วยให้ธุรกิจในอุตสาหกรรม Healthcare สามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีเงื่อนไขซับซ้อนและละเอียดขึ้น เช่น การผสมผสานข้อมูลจากหลาย Property เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่เข้าชมทั้งเว็บไซต์หลักและแอปพลิเคชัน หรือผู้ที่มีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาหลายครั้งในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งช่วยในการสื่อสารกับผู้ป่วยที่มีความต้องการเฉพาะเจาะจง

3.รายงานที่ไม่มีการสุ่มตัวอย่าง (Unsampled Reports)

  • Google Analytics 4:
    ใน GA4 เมื่อจำนวนข้อมูลเพิ่มขึ้น ระบบอาจทำการสุ่มตัวอย่าง (Sampling) ข้อมูลเพื่อประหยัดทรัพยากร ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลไม่ละเอียดเพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการข้อมูลที่แม่นยำ
  • Google Analytics 360:
    GA360 มีความสามารถในการสร้าง Unsampled Reports ซึ่งหมายความว่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกรายงานโดยไม่มีการสุ่มตัวอย่าง ทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำสูงและเหมาะสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถใช้ GA360 เพื่อสร้าง Unsampled Reports ที่วิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของลูกค้าจากหลายช่องทาง เช่น การเข้าชมเว็บไซต์ การใช้แอปพลิเคชัน การโฆษณาออนไลน์ และโซเชียลมีเดีย ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและละเอียด สามารถนำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการบริการที่ตรงตามความต้องการของนักท่องเที่ยว

4.Roll-Up Property

  • Google Analytics 4:
    GA4 ไม่มีฟีเจอร์ Roll-Up Property ทำให้องค์กรที่มีหลายเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันไม่สามารถรวบรวมข้อมูลจากหลาย Property มาวิเคราะห์ร่วมกันได้ ในกรณีที่ธนาคารหรือฟินเทคมีหลายเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน GA4 ไม่สามารถรวมข้อมูลจากหลาย Property มาวิเคราะห์ในรายงานเดียวได้ ทำให้ต้องจัดการแต่ละ Property แยกกัน ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์ภาพรวมของข้อมูลธุรกิจที่มีหลายช่องทางเป็นไปได้ยากขึ้น
  • Google Analytics 360:
    GA360 มีฟีเจอร์ Roll-Up Property ซึ่งช่วยให้ข้อมูลจากหลาย Property ถูกผสานรวมและวิเคราะห์ร่วมกันได้ในรายงานเดียว นี่เป็นฟีเจอร์ที่สำคัญสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลาย Property และต้องการดูข้อมูลแบบรวมศูนย์เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจน GA360 ธนาคารหรือฟินเทคสามารถรวบรวมข้อมูลจากหลาย Property ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเข้ามาในรายงานเดียว ทำให้สามารถดูข้อมูลแบบรวมศูนย์ และวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ที่มีการใช้งานหลายช่องทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความแตกต่างหลัก ระหว่าง Google analytics 4 vs Google analytics 360

  1. กลุ่มเป้าหมาย: GA4 เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่ต้องการเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัยและครอบคลุม GA360 เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการฟีเจอร์ขั้นสูงและการสนับสนุนลูกค้าที่ดีกว่า
  2. ฟีเจอร์และการใช้งาน: GA360 มีฟีเจอร์ที่หลากหลายและรองรับการทำงานที่ซับซ้อน เช่น การสร้างรายงานที่ไม่มีการสุ่มตัวอย่าง และการรวมข้อมูลจากหลาย Property ขณะที่ GA4 เน้นการใช้งานที่ยืดหยุ่นและการวิเคราะห์ข้ามแพลตฟอร์ม
  3. ค่าใช้จ่าย: GA4 เป็นบริการฟรี ในขณะที่ GA360 มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่แลกมาด้วยฟีเจอร์ขั้นสูงและการสนับสนุนที่ครอบคลุมกว่า

GA360 เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความละเอียดและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกสูงสุด หากธุรกิจไหนสนใจและต้องการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ feature ต่างๆ ของ Google analytics 360 สามารถกรอกแบบฟอร์มด้านล่าง เพื่อติดต่อ Predictive รับคำปรึกษา โดยไม่มีค่าใช้ได้เลยค่ะ

อ่านเพิ่มเติม ความต่างระหว่าง feature Google analytics 4 vs Google analytics 360

Get in touch

Let's work together!

"*" indicates required fields

Name*
Please let us know what's on your mind. Have a question for us? Ask away.