SEO vs SEM by Predictive

SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร แล้วแบรนด์ควรโฟกัสที่อันไหน ?

จากข้อมูลของ SEOTribunal.com พบกว่า ทุกๆ 1 นาทีจะมีคนเข้าเสิร์ชหาสิ่งที่ต้องการบน Google กว่า 3.8 ล้านครั้งเลยทีเดียว และจำนวนการเสิร์ชต่อวันนั้นมากถึง 5.6 พันล้านครั้ง 

โดยเว็บไซต์ที่ขึ้นอยู่ในหน้าแรกๆ ของการค้นหานั้น มีโอกาสที่จะ user จะ Click เข้าชมเว็บไซต์มากกว่าลำดับหลังๆ อย่างมีนัยยะสำคัญเลยทีเดียว 

แบรนด์จึงควรโฟกัสที่จะทำให้เว็บไซต์ของแบรนด์ไปขึ้นอยู่หน้าแรกๆ ของการค้นหาบน Google ให้ได้ เพื่อเพิ่ม Trafic เข้าเว็บไซต์ของแบรนด์ ซึ่งมีอยู่ 2 วิธีการนั่นคือการทำ SEO และ การทำ SEM ค่ะ 

เชื่อว่าหลายๆ แบรนด์คงเคยได้ยินทั้ง 2 คำมาอยู่แล้ว แต่อาจจะสับสนว่าแตกต่างกันอย่างไร และควรเริ่มทำอันไหนก่อน ทาง Predictive จึงขอเล่าความหมายของแต่ละคำกันก่อนค่ะ 

Search Engine Optimisation (SEO) คืออะไร ?​

SEO เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของแบรนด์ขึ้นหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา จากผลสำรวจของ Gartner พบว่าการใช้ SEO เองก็จัดอันดับเป็น Top 5 ของช่องทางที่สามารถสร้าง Marketing Qualified Leads (MQLs) ซึ่ง SEO นอกจากจะสร้าง Traffic เข้าเว็บไซต์แล้วยังช่วยสร้าง Lead ในระยะยาว, สร้างรายได้ทาง E-Commerce หรือสร้าง Community เพื่อไปต่อยอดทางธุรกิจได้อีกด้วย ซึ่งการจะทำ SEO ให้สำเร็จนั้นประกอบด้วย 2 องค์ประกอบหลักๆ ได้แก่ 

  1. On-page คือ เนื้อหา และ โครงสร้างต่างๆที่อยู่ภายในเว็บไซต์ของเรา เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed), ขนาดของภาพ (Image Size) ที่อยู่ในหน้าเว็บไม่ใหญ่เกินไป, รูปแบบการจัด Heading ที่อยู่ภายในหน้าเว็บ 
  2. Off-page คือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อเว็บไซต์ของเรา เช่น  เว็บไซต์ต่างๆ มีการลิงก์มาหาเว็บไซต์เรา (Backlink) มากน้อยแค่ไหน ยิ่งมีเว็บไซต์คุณภาพลิงก์กลับมาหาเว็บไซต์เรามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เว็บเรานั้นดูมีคุณภาพดีขึ้นในสายตาของ Search Engine 

การทำ SEO ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในระยะยาว ทำให้แบรนด์ได้ Lead ที่มีคุณภาพจริงๆ โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อโฆษณา และแม้จะหยุดทำ SEO สักพัก ก็ไม่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ใน Search Engine มากนัก จนกว่าจะมีคู่แข่งเบียดขึ้นมา 

Search Engine Marketing (SEM) คืออะไร ?​ 

SEM เป็นการทำการตลาดบน Search Engine ซึ่งแบรนด์ต้องมีการประมูล Keyword เพื่อให้โฆษณาแสดงผลตามการค้นหาหน้าแรก โดยแบรนด์จะต้องจ่ายเงินตามจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า PPC (Pay per click) โดยอันดับตำแหน่งของโฆษณาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Quality Score ที่ระบบจะดูว่าคำ Keyword ที่แบรนด์ประมูล มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน เมื่อแบรนด์หยุดจ่ายเงินค่าโฆษณาเมื่อไหร่ โฆษณาก็จะหยุดไปด้วย ซึ่งทำให้ยอด Traffic ที่เคยเยอะนั้นลดฮวบในพริบตา 

แบรนด์ควรโฟกัสที่ SEO หรือ SEM ?​

ทำควบคู่กันไป เพราะทั้ง 2 อย่างมีจุดประสงค์ และประโยชน์ที่ได้รับแตกต่างกัน 

โดยเริ่มทำ SEO ตั้งแต่วันนี้เพื่อสร้างรากฐานความน่าเชื่อถือ เพื่อสร้าง Quality ให้กับเว็บไซต์ และสร้างคะแนนจาก Google ในระยะยาว 

ส่วนในพาร์ทของ SEM นำไปปรับใช้ตามธรรมชาติของธุรกิจ และตามกลยุทธ์ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น เมื่อออกแคมเปญใหม่ๆ แล้วต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากโดยทันที อย่างไรก็ตามหากแบรนด์มุ่งเน้นแต่การทำ SEM ก็ต้องเสียค่า CPC เพราะว่าเว็บไซต์มี Quality score ที่น้อย แต่หากมีการทำ SEO ควบคู่กันไป จะทำให้ได้ Quality Score ที่ได้เพิ่มขึ้นจาก Landing Page Quality Score

Guideline เบื้องต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO 

  1. ส่ง Sitemap ให้ทาง Google เพื่อให้ Google รู้จักเว็บไซต์ของเรา
  2. [On-Page SEO] ทำให้เว็บไซต์รองรับขนาดหน้าจอหลากหลาย (Responsive Web Design) เช่น รองรับการทำงานทั้ง มือถือ ipad notebook และอุปกรณ์อื่นๆ 
  3. [On-Page SEO] ออกแบบหน้าเว็บไซต์ ให้มี Customer Experience ที่ดี ใช้งานง่าย เช่น การแบ่ง Category ที่ชัดเจน การเลือกใช้สี,font ที่เหมาะสม 
  4. [On-Page SEO] เว็บไซต์ต้องโหลดได้ไว โดยแบรนด์ควรทิ้งปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น ลดขนาดรูป โดยเเบรนด์สามารถเช็คคะแนนการความเร็วการดาวน์โหลดเว็บไซต์เบื้องต้นได้จาก Google Search Console 
  5. [On-Page SEO] หมั่นสร้างคอนเทนต์ที่ดี และแก้ปัญหาให้กับ user โดยเลือกใช้คำ Keyword ประกอบคอนเทนท์ที่มีคนเสิร์ชค้นหาเยอะ 
  6. [Off-Page SEO] สร้าง Backlink จากเว็บ / Social Media ที่มีคุณภาพให้ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของแบรนด์ เช่น โพสต์เนื้อหาใน Mediem แล้วลิงก์เนื้อหาบางส่วนกลับมาที่เว็บไซต์ เป็นต้น 

เริ่มต้นทำ SEO กับ Predictive ตั้งแต่วันนี้ โดยในสโคปงานด้าน SEO สามารถวัดผลได้ตั้งแต่ Ranking ไปจนถึงการวัดผล Business Outcome เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเรามีทีม Data Analytics ช่วยแบรนด์วิเคราะห์ Performance ของ Organic Search ในเชิงลึก ที่ผ่านมาเราได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำ อาทิ Krungsri Consumer Group, Ngern Tid Lor, Nivea, Levi’s และอื่นๆ มากกว่า 50 แบรนด์