เทรนด์ Customer Experience ในปี 2025

เทรนด์ Customer Experience ในปี 2025: อะไรจะทำให้ลูกค้าประทับใจธุรกิจคุณได้บ้าง ?

ความรู้สึกและประสบการณ์ของลูกค้า (Customer experience) ที่ดีตั้งแต่ก่อนจะมาใช้บริการ เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจควรใส่ใจ ในปัจจุบันลูกค้ามีความคาดหวังที่จะได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น สะดวกสบาย ในทุกๆ จุดสัมผัสที่เลือกใช้บริการ จนถึงหลังจากใช้บริการของสินค้า บทความนี้ เราจะพาสำรวจความสำคัญของประสบการณ์ของลูกค้า, การนำไปปรับใช้กับธุรกิจ และ เทรนดืที่จะมีการเปลี่ยนแปงในปี 2025

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer experience) คืออะไร

ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience หรือ CX) คือ การครอบคลุมถึงการมีปฏิสัมพันธ์ทั้งหมดระหว่างลูกค้ากับบริษัท ซึ่งมีส่วนในการสร้างความรู้สึกโดยรวมของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ไม่ใช่แค่การสัมผัสเพียงจุดเดียว แต่เป็นผลสะสมจากทุกการปฏิสัมพันธ์ ตั้งแต่ช่วงที่ลูกค้ารู้จักแบรนด์ครั้งแรก จนถึงการมีส่วนร่วมหลังการซื้อ

ทำไมประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ

ประสบการ์ณที่ดีของลูกค้าย่อมมีผลต่อแบรนด์หรือธุรกิจ ทั้งในด้านชื่อเสียงและการเติบโตของธุรกิจเป็นอย่างมาก หลายคนเคยอาจได้ยินในกรณีเช่น ร้านค้าออนไลน์ สินค้าและการชำระเงินที่ยากลำบาก หรือ ธนาคารที่ระบบธนาคารออนไลน์ล่มบ่อย ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ และส่งผลเสียทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้เช่นกัน ดังนั้น ประสบการณ์ลูกค้ามีความสำคัญอย่างมาก โดยเราสรุป

1.Customer Experience คือสนามแข่งขันใหม่สำหรับธุรกิจ

เมื่อสินค้าและบริการมีความคล้ายคลึงกันมากขึ้น ลูกค้าจะเลือกแบรนด์จากคุณภาพของประสบการณ์ที่ได้รับ โดย 80% ขององค์กรคาดการณ์ว่าพวกเขาจะต้องแข่งขันกันหลักๆ ที่ Customer Experience และ 90% ของธุรกิจให้ความสำคัญกับ Customer Experienceเป็นอันดับแรก

2.Customer Experience ที่ดีช่วยสร้างความภักดีและการรักษาลูกค้า

ลูกค้าที่ภักดีมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำ จ่ายเงินมากขึ้น และแนะนำแบรนด์ให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว โดย 86% ของผู้บริโภคจะเลิกใช้แบรนด์หลังจากมีประสบการณ์ที่ไม่ดีแค่เพียง 2 ครั้ง และ 49% ของลูกค้าที่เปลี่ยนแบรนด์ในปีที่ผ่านมาทำไปเพราะ Customer Experience ที่ไม่ดี Customer Experience เป็นปัจจัยขับเคลื่อนความภักดีของลูกค้ามากกว่าสองในสาม ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าทั้งแบรนด์และราคา

3.Customer Experience ที่ดีช่วยเพิ่มรายได้และกำไร

ลูกค้าที่พึงพอใจทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและผลกำไรแข็งแกร่งขึ้น บริษัทที่ให้ความสำคัญกับCustomer Experience จะเติบโตเร็วกว่าและมีกำไรมากกว่า โดย 41% ของบริษัทที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มีการเติบโตของรายได้อย่างน้อย 10% ในปีที่ผ่านมา เทียบกับเพียง 10% ของบริษัทที่มีการพัฒนา Customer Experience น้อย องค์กรที่สามารถแสดงให้เห็นว่าความพึงพอใจของลูกค้ามีส่วนช่วยให้เกิดการเติบโตและกำไร มีโอกาสที่จะได้รับงบประมาณ Customer Experience เพิ่มขึ้น 29%

4.การปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลคือหัวใจของ Customer Experience ที่ชนะใจลูกค้า

ลูกค้าต้องการประสบการณ์ที่ปรับให้เข้ากับความต้องการและความชื่นชอบส่วนตัว ซึ่งมากกว่าเพียงแค่การเรียกชื่อพวกเขา แต่หมายถึง การเข้าใจความรู้สึก ความต้องการ และปัจจัยที่ขับเคลื่อนความรู้สึกของลูกค้า การเสนอคำแนะนำและข้อเสนอเฉพาะบุคคล การสร้างความรู้สึกพิเศษและการดูแลที่เป็นพิเศษ

5.Customer Experience มีผลกระทบมากกว่าบริการลูกค้า เพราะครอบคลุมทุกขั้นตอนการเดินทางของลูกค้า

ทุกจุดที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจ ตั้งแต่การเข้าเว็บไซต์ของบริษัทไปจนถึงการรับบริการหลังการซื้อ มีส่วนสร้างประสบการณ์ที่ดีหรือไม่ดีให้กับลูกค้า

6.Customer Experienceที่แข็งแกร่งช่วยสร้างชื่อเสียงแบรนด์และส่งเสริมการบอกต่อ

เมื่อผู้บริโภคมีประสบการณ์ที่ดี พวกเขามักจะแบ่งปันสิ่งเหล่านี้กับคนอื่นๆ เช่น เพิ่มรีวิวและการให้คะแนนเชิงบวก เพิ่มการมองเห็นและการรับรู้แบรนด์ และ เสริมสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ

7.การไม่ให้ความสำคัญกับ Customer Experience มีผลกระทบเชิงลบที่ชัดเจน

การละเลยข้อเสนอแนะของลูกค้า การให้บริการที่ไม่ดี และการไม่ปรับตัวตามความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปอาจนำไปสู่การทำลายชื่อเสียงของแบรนด์ การสูญเสียลูกค้าและรายได้

เทรนด์และการเปลี่ยนแปลงสำคัญของประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ในปี 2025

เทรนด์และการเปลี่ยนแปลงสำคัญของประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ในปี 2025 จะเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า และการทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ปรับแต่งอย่างเหมาะสม และ น่าสนใจ ดังต่อไปนี้

เทรนด์การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล Data-Driven Trends

การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล Data-Driven คือการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจ ทำนายผลลัพธ์ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค ตลาด และเทคโนโลยีได้อย่างลึกซึ้ง โดย เทรนด์การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ประกอบไปด้วย

1. Digital Twins ที่เต็มไปด้วยข้อมูล

ภายในปี 2025 ธุรกิจจะใช้ข้อมูลลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้าง Digital Twins ที่มีข้อมูลมากมาย ซึ่งเป็นสำเนาเสมือนจริงของลูกค้าที่สะท้อนพฤติกรรมและความชอบของพวกเขา Digital Twins เหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทดลองผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ในสภาพแวดล้อมเสมือนที่ปราศจากความเสี่ยง ทำนายปฏิกิริยาของลูกค้า และปรับกลยุทธ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด ยกตัวอย่างเช่น อินชอน เมืองท่าสำคัญของเกาหลีใต้ ได้นำเทคโนโลยี Digital Twin มาใช้ในการสร้าง Smart City เพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในพื้นที่ชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูมรสุม

2.การปรับแต่งแบบ Prescriptive Hyper-Personalization

การปรับแต่งแบบไฮเปอร์เชิงสั่งการ (Prescriptive Hyper-Personalization) จะยกระดับการปรับแต่งโดยไม่เพียงแค่ทำนายความต้องการของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังจะผลักดันให้ลูกค้าดำเนินการที่สอดคล้องกับค่านิยมของพวกเขา วิธีนี้จะช่วยสร้างความภักดีที่ลึกซึ้งขึ้นโดยการสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับค่านิยมและความปรารถนาของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใช้การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ร่วมกับการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อทำนายความต้องการของลูกค้า จากนั้นระบบจะไม่เพียงแค่แนะนำสินค้าที่ตรงกับความชอบของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังสามารถแนะนำสินค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากระบบรู้ว่าลูกค้าชอบซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านการค้นหาและการซื้อสินค้าในอดีต ระบบจะส่งโปรโมชั่นพิเศษเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ลูกค้ามักจะสนใจซื้อ เช่น ก่อนวันหยุด หรือเมื่อมีสินค้าลดราคาพิเศษ

3.การจัดการประสบการณ์ลูกค้าเชิงพยากรณ์ (PCEM)

PCEM (Predictive Customer Experience Management) จะใช้การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ขั้นสูงเพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าและปรับปรุงการเดินทางของลูกค้าแบบเรียลไทม์ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ระบบเหล่านี้สามารถทำนายพฤติกรรมและความชอบในอนาคต ช่วยให้บริษัทสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ปรับให้เข้ากับลูกค้าได้อย่างเหมาะสม และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวโรงแรมสามารถใช้ PCEM เพื่อคาดการณ์ความต้องการของแขก เช่น ช่วงเวลาที่แขกจะทำการจองล่วงหน้า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่พวกเขาน่าจะใช้ จากนั้นโรงแรมสามารถส่งข้อเสนอส่วนลดสำหรับการอัปเกรดห้องพัก หรือแนะนำบริการเสริมต่าง ๆ เช่น การนวดสปาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ทำให้ประสบการณ์การเข้าพักตรงตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

4.Quantum Computing ในการวิเคราะห์ประสบการณ์ลูกค้า (CX Analytics)

Quantum computing ทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และซับซ้อนเป็นไปได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าและทำนายพฤติกรรมได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจงให้ตรงกับความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้ในแบบเรียลไทม์ เช่น หากลูกค้ามีความชอบในสินค้าแฟชั่น ระบบสามารถแนะนำสินค้าที่ลูกค้าน่าจะชอบในช่วงเวลาที่พวกเขามีแนวโน้มจะซื้อ และยังสามารถปรับการแนะนำสินค้าแบบเรียลไทม์เมื่อข้อมูลเพิ่มเติมถูกเก็บรวบรวม เช่น ข้อมูลการค้นหาหรือการคลิกที่เว็บไซต์

เทรนด์การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Technology-Driven Trends

หลังจากที่เรามีข้อมูลมหาศาล เทรนด์ที่ตามมาคือ การนำข้อมูลมาสร้างเทคโนโลยี และใช้เทคโลยีในการขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งในบริบทของการสร้างประสบการณ์ลูกค้า (CX) เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้จะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่มีประสิทธิภาพ น่าจดจำ และตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดย เทรนด์การขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ประกอบไปด้วย

1.เทคโนโลยีเสมือนจริง (Immersive Technologies)

ภายในปี 2025 ธุรกิจจะนำเทคโนโลยีเสมือนจริงอย่าง Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) มาใช้ในการสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจและมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่นสามารถใช้ VR เพื่อให้ลูกค้าทดลองสวมใส่เสื้อผ้าเสมือนจริง ช่วยให้เข้าใจผลิตภัณฑ์มากขึ้นและอาจลดอัตราการคืนสินค้า นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มของประสบการณ์ลูกค้าแบบ Hyper-Reality ที่ผสมผสานระหว่าง AR และ VR เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหมือนจริงที่ทำให้ขอบเขตระหว่างโลกดิจิทัลและโลกจริงเสมือนเข้าหากัน

2.AI และระบบอัตโนมัติ (AI and Automation)

ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของการจัดการประสบการณ์ลูกค้า (CX) ผู้ช่วยดิจิทัลที่สามารถรับรู้และตอบสนองต่ออารมณ์ของมนุษย์ได้ จะช่วยเพิ่มคุณภาพการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและปรับแต่งประสบการณ์ส่วนตัว ผู้ช่วยเหล่านี้จะไม่เพียงแค่จัดการงานง่าย ๆ เท่านั้น แต่ยังให้การสนับสนุนทางอารมณ์ ทำให้การสื่อสารดูเหมือนมนุษย์มากขึ้นยกตัวอย่างเช่น บอตบริการลูกค้าอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสามารถจัดการคำถาม แนะนำสินค้า และแก้ปัญหาได้อย่างเป็นอิสระ

3.อินเทอร์เฟซแบบไร้หน้าจอ (Zero-UI Interfaces)

Google Assistant
Google Assistant รูปภาพจาก botpenguin

การเพิ่มขึ้นของอินเทอร์เฟซแบบไร้หน้าจอจะเปลี่ยนแปลงการมีปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าโดยไม่ต้องพึ่งหน้าจอหรือปุ่มควบคุมทางกายภาพอีกต่อไป การใช้คำสั่งเสียง ท่าทาง หรือสัญญาณชีวภาพเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ราบรื่นและใช้งานได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเช่น Google Assistant หรือ Siri ที่ลูกค้าสามารถใช้เสียงในการสั่งงาน เช่น สั่งเปิดเพลง ปรับอุณหภูมิ หรือค้นหาข้อมูล โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ

4.การปรับแต่งด้วยข้อมูลชีวมาตร (Biometric-Driven Personalization)

ยืนยันตัวตนผ่านแอพ
ยืนยันตัวตนผ่านแอพ รูปภาพจาก Thairat

การปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าด้วยข้อมูลชีวมาตรจะใช้ข้อมูลจากร่างกาย เช่น การจดจำใบหน้าหรือลายนิ้วมือ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน การจับและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับแต่งอินเทอร์เฟซ แนะนำผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งปรับแต่งสภาพแวดล้อมในร้านค้าให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริง ยกตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมธนาคาร การยืนยันตัวตนโดยแสกนผ่านหน้า โดยไม่ต้องไปที่ธนาคารจริง

5.โฮโลกราฟีในการสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Holography in CX)

เทคโนโลยีโฮโลกราฟีจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่นวัตกรรมใหม่ เช่น การใช้ตัวแทนบริการลูกค้าแบบโฮโลกราฟีที่ปรากฏเป็นภาพ 3 มิติแบบมนุษย์ ซึ่งสามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์เพื่อให้การสนับสนุนและตอบคำถาม หรืออย่างในไทยก็เคยมีในคอนเสิร์ต D2B ที่มีการใช้เทคโนโลยีโฮโลกราฟี ในการพา บิ๊ก D2B กลับมาคอนเสิร์ตอีกครั้ง

การใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ลูกค้า (Customer experience)

เทรนด์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเริ่มต้นจากการมีข้อมูลที่มหาศาล ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดนวัตกรรมและพัฒนาแนวทางการบริการลูกค้าให้ดีขึ้นได้ โดยการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ลูกค้า (CX) สามารถทำได้ดังต่อไปนี้:

1.การปรับแต่งตามความต้องการ (Personalization)

การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้ธุรกิจสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าในปริมาณมาก เพื่อทำความเข้าใจความชอบ พฤติกรรม และความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถสร้างประสบการณ์ที่ปรับแต่งเฉพาะให้ตรงกับแต่ละลูกค้าได้ เช่น ร้านค้าออนไลน์จะใช้ประวัติการท่องเว็บและการซื้อสินค้าเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์หรือเสนอส่วนลดที่ตรงเป้าหมาย

2.การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ (Predictive Analytics)

บริษัทต่าง ๆ ใช้การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าและปรับปรุงการเดินทางของลูกค้าในเวลาเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสายการบินสามารถใช้การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์เพื่อตรวจจับผู้โดยสารที่อาจพลาดเที่ยวบินต่อ และเสนอความช่วยเหลือหรือการจัดการการเดินทางทางเลือก

3.การวิเคราะห์อารมณ์ (Sentiment Analysis)

เครื่องมือการวิเคราะห์อารมณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจอารมณ์ของลูกค้าและปรับการตอบสนองให้เหมาะสม เครื่องมือเหล่านี้วิเคราะห์ข้อมูลเช่น โทนเสียง คำที่เลือกใช้ และแม้แต่ความเร็วในการพิมพ์ เพื่อประเมินสถานะอารมณ์ ซึ่งช่วยให้ตัวแทนบริการลูกค้าสามารถตอบสนองได้อย่างมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น หรือปรับคำตอบอัตโนมัติให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างเช่น หากลูกค้าแสดงความไม่พอใจในระหว่างการโต้ตอบกับแชทบอท ระบบสามารถตรวจจับอารมณ์เชิงลบและถ่ายโอนไปยังตัวแทนมนุษย์เพื่อให้การสนับสนุนที่เป็นส่วนตัวได้

4.การสร้างแผนที่การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey Mapping)

ธุรกิจกำลังใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอแผนที่และบันทึกการโต้ตอบของลูกค้าทุกครั้งตลอดการเดินทาง ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงและปรับแต่งให้เป็นส่วนตัว รวมถึงทำให้แน่ใจว่าทีมต่าง ๆ มีความสอดคล้องกัน โดยการเข้าใจการเดินทางของลูกค้า บริษัทสามารถระบุจุดที่เจ็บปวด ปรับปรุงกระบวนการ และสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นมากขึ้นสำหรับลูกค้า ตัวอย่างเช่น หากข้อมูลเผยให้เห็นว่าลูกค้าทิ้งรถเข็นซื้อสินค้าบ่อยครั้งที่ขั้นตอนการชำระเงิน ธุรกิจสามารถตรวจสอบเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมนี้และทำการปรับปรุงที่จำเป็นเพื่อลดความยุ่งยากในการชำระเงิน

5.การวัดผลและการปรับปรุงประสิทธิภาพ (Performance Measurement and Improvement)

การวิเคราะห์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญในการวัดและติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพหลัก (KPIs) ที่เกี่ยวข้องกับ CX ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินความมีประสิทธิภาพของกลยุทธ์ CX และระบุพื้นที่ที่ต้องปรับปรุง โดยการวิเคราะห์เมตริก เช่น คะแนนความพึงพอใจของลูกค้า คะแนนโปรโมเตอร์สุทธิ (NPS) และอัตราการเลิกใช้บริการของลูกค้า บริษัทสามารถรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอารมณ์ของลูกค้า ความภักดี และความสำเร็จโดยรวมของโครงการ CX ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากร การปรับปรุงกระบวนการ และการปรับกลยุทธ์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า

โดยรวมแล้ว การวิเคราะห์ข้อมูลกำลังกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการทำความเข้าใจและเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ลูกค้า โดยการใช้ข้อมูลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล บริษัทสามารถสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ที่ปรับแต่ง คาดการณ์ และเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ซึ่งช่วยเสริมสร้างความภักดีของลูกค้า ขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูงในอนาคตได้

ธุรกิจสามารถเริ่มต้นสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง

การจะสร้างสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer experience) จำเป็นต้องวางแนวทางที่ครอบคลุมทุกการปฏิสัมพันธ์ที่ลูกค้ามีกับธุรกิจของคุณ ต่อไปนี้คือขั้นตอนแนะนำสำหรับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า (Customer experience)

1. การวางรากฐาน

  1. กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายของการสร้าง Customer experience: กำหนดว่าคุณต้องการสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบใด และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนว่าอยากบรรลุอะไร เช่น คุณต้องการเป็นที่รู้จักในด้านการบริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว หรือการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย การกำหนดวิสัยทัศน์จะช่วยชี้นำทุกความพยายามต่อจากนี้
  2. เข้าใจลูกค้าของคุณ: นี่คือขั้นตอนสำคัญที่สุด คุณต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในกลุ่มเป้าหมายของคุณ รวมถึงความต้องการ ความชอบ และปัญหาที่พบ เช่น ทำการวิจัยตลาด วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และรวบรวมความคิดเห็นจากการสำรวจ การสัมภาษณ์ และการติดตามสื่อโซเชียล
  3. สร้างแผนที่การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey): ระบุทุกจุดที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ ตั้งแต่การรับรู้ครั้งแรกจนถึงการติดต่อหลังการซื้อ การสร้างแผนนี้จะช่วยให้เห็นภาพเส้นทางของลูกค้าและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
  4. กำหนดเมตริกและ KPI ที่สำคัญ: ตัดสินใจว่าเมตริกใดจะใช้วัดความสำเร็จของโปรแกรม CX เน้นที่เมตริกที่สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ เช่น ความพึงพอใจของลูกค้า อัตราการรักษาลูกค้า คะแนน Net Promoter Score (NPS) และมูลค่าลูกค้าตลอดชีพ (Customer Lifetime Value)

2. การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

  1. คนในองค์กรคือแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ : ให้เครื่องมือ การฝึกอบรม และอำนาจในการมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม สร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับลูกค้า ซึ่งทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของการสร้าง Customer experience และมีแรงจูงใจในการก้าวไปข้างหน้า
  2. ให้ความสำคัญกับการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน: ทำให้ทุกคนมีเป้าหมายการสร้าง Customer experience ร่วมกัน การประชุมประจำ แดชบอร์ดที่ใช้ร่วมกัน และเครื่องมือการสื่อสารแบบบูรณาการจะช่วยเสริมการทำงานร่วมกัน
  3. พัฒนาระบบการรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า: ทำให้ลูกค้าสามารถให้ข้อเสนอแนะได้ง่าย และต้องมั่นใจว่าคุณรับฟังและตอบสนองต่อความคิดเห็นเหล่านั้น สร้างระบบในการรวบรวมความคิดเห็น วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลนั้นเพื่อปรับปรุง
  4. ปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): ปรับปรุงเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และจุดเชื่อมต่อดิจิทัลอื่น ๆ ให้ใช้งานง่าย มีความสวยงาม และสนุกสนาน ซึ่งรวมถึงการมุ่งเน้นที่การออกแบบ ฟังก์ชันการทำงาน การนำทาง และการเข้าถึง ยกตัวอย่างเครื่องมือในการวัดและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า เช่น Google Analytics, Appsflyer, VWO, และ Contentsquare เป็นต้น

3. การส่งมอบและการปรับปรุง

  1. ปรับแต่งการโต้ตอบให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า: ปรับแต่งการโต้ตอบทุกครั้งให้ตรงกับลูกค้าแต่ละราย โดยใช้ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกเพื่อคาดการณ์ความต้องการและความชอบ
  2. มั่นใจในความรวดเร็วและการแก้ปัญหา: ตอบคำถามของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมกระบวนการชัดเจนในการจัดการกับข้อร้องเรียนและการแก้ไขปัญหา ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านช่องทางที่พวกเขาต้องการ
  3. ให้รางวัลแก่ลูกค้าที่มีความภักดี: แสดงความขอบคุณต่อลูกค้าที่มีความภักดีด้วยข้อเสนอพิเศษ โปรแกรมรางวัล และการยอมรับเฉพาะบุคคล การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จระยะยาว
  4. ติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ตรวจสอบเมตริก CX ของคุณเป็นประจำและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง ทดลอง A/B Testing รวบรวมความคิดเห็นของลูกค้า และติดตามแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมและเทรนด์ใหม่ ๆ

สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการเริ่มสร้างประสบการณ์ที่ดีคือการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในองค์กร เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน การวางกลยุทธ์ทางข้อมูลและการวางแผนการนำข้อมูลไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

หากคุณสนใจที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าของคุณ แต่ไม่แน่ใจว่าต้องใช้ข้อมูลอะไรดี เพียงกรอกแบบฟอร์มด้านล่างเพื่อรับคำปรึกษาฟรีจากผู้เชี่ยวชาญของ Predictive ได้เลยค่ะ!

การพัฒนาและสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยมไม่ใช่เรื่องยากถ้ามีแนวทางที่ชัดเจน พร้อมแล้วหรือยังที่จะเริ่มต้น?

ขอบคุณข้อมูล Top 5 Customer Experience Trends for 2025, Customer Experience (CX) Trends for 2025: What to Expect

Get in touch

Let's work together!

"*" indicates required fields

Name*
Please let us know what's on your mind. Have a question for us? Ask away.