เคล็ด (ไม่) ลับ ทำอย่างไรให้หน้า Landing Page มี Conversion เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

Landing Page คืออะไร

Landing Page หมายถึงเว็บไซต์หน้าแรกที่ลูกค้ากดเข้ามาเจอ โดยเน้นการทำให้คนที่เข้ามาเกิดการตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง (Conversion) เช่น สมัครบัตรเครดิต , ดาวน์โหลด E-Book 

โดยส่วนใหญ่แล้วการที่แบรนด์จะออกแคมเปญใดๆ มักจะใช้หลากหลายองค์ประกอบเพื่อให้แคมเปญสำเร็จ ซึ่งตัว Landing Page ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่แบรนด์ต้องให้ความสำคัญ​ เพราะการสุดท้ายแล้วแม้ว่าเราจะทำ Ads ดีแค่ไหน มีคนเข้ามาในหน้า Landing Page เยอะ แต่หากลูกค้าเข้ามาแล้วออกไป (Bounce) หรือเข้ามาแล้วไม่ได้ทำ action ที่แบรนด์ต้องการ ก็ถือได้ว่าแคมเปญนั้นไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

ดังนั้นการทำ Landing Page จึงต้องมีความสอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ ออกแบบอย่างเหมาะสม และมีการทดลอง เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่า Landing Page มีประสิทธิภาพ สามารถสร้าง Lead ได้จริง 

ขั้นตอนการออกแบบ Landing Page ให้สำเร็จ 

ความสำเร็จของแต่ละแคมเปญ ขึ้นอยู่กับ การที่ Landing Page ทำให้เกิด Action ตามเป้าหมายที่แบรนด์วางไว้ได้จริง การจะสร้าง Landing Page ขึ้นมา จึงควรคิดและออกแบบในหลากหลายมิติ มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของแคมเปญ เช่น  

  • Visual และ คำที่ใช้ใน Landing Page ควรจะสอดคล้องกันทั้งแคมเปญ ตั้งแต่ใน Ads , Email และ Landing Page
  • สื่อสาร Value ที่ลูกค้าจะได้รับอย่างชัดเจน เช่น ทดลองสินค้าฟรี , ดาวน์โหลดเอกสาร เช่น white paper , E- book 
  • Landing Page ควรจะ Personalization ตามความชอบ พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน  

โดยทาง Gartner ได้ให้แนวทางการออกแบบประสบการณ์ของ Landing Page ผ่าน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 

3 ขั้นตอนการสร้าง Landing Page ที่มี Conversion สูง 
1. ตั้งเป้าหมาย
2. ออกแบบ Landing Page เพื่อให้เกิด Conversion 
3. ปรับปรุงหน้า Landing Page
3 ขั้นตอนการสร้าง Landing Page ที่มี Conversion สูง (ภาพโดย Gartner)
  1. ตั้งเป้าหมาย และ KPI ของแคมเปญ
  2. ออกแบบ Landing Page เพื่อให้เกิด Conversion 
  3. ปรับปรุงหน้า Landing Page อยู่เสมอ  

ตั้งเป้าหมาย และ KPI ของแคมเปญ

ก่อนที่จะปล่อยแคมเปญ หรือออกแบบ Landing Page สิ่งที่ควรทำคือการตั้งเป้าหมายของแคมเปญนั้นๆ อะไรเป็นสิ่งที่แบรนด์ต้องการ achieve จากแคมเปญนี้ โดยเป้าหมายและจุดประสงค์ดังกล่าว จะเป็นแนวทางสำคัญในการออกแบบองค์ประกอบต่างๆ ทั้งหมดในแคมเปญนั้นๆ เช่น กลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ, ข้อความที่ใช้ใน CTA, รูปแบบการเก็บข้อมูล และอื่นๆ อีกมากมาย 

Landing Page เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ของแบรนด์หลายอย่าง เช่น 

  • หาลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เช่น Landing Page สำหรับสมัครบัตรเครดิต, สมัครสมาชิก, ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมสุด Exclusive  
  • Cross Selling ลูกค้าปัจจุบัน โดยนำเสนอสินค้า / บริการใหม่ๆ ที่ลูกค้าท่านนั้นๆ ยังไม่ได้ซื้อ

เมื่อตั้งเป้าหมายของแคมเปญแล้ว ต้องกำหนดตัวชี้วัด (KPIs) ของเเคมเปญ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งต้องวัดผลในทุกๆ stage ด้วย ตัวอย่างเช่น แบรนด์ A มีเป้าหมายคือการเพิ่มรายได้จากลูกค้าจากกลุ่มอุตสากรรมใหม่ที่แบรนด์ไม่เคยมีมาก่อน เป็นสัดส่วน 25% จากรายได้ทั้งหมด ดังนั้น เป้าหมายของแคมเปญจึงเป็นการสร้าง 

  • Awareness จากลูกค้าใหม่ เป็นจำนวน 10 ล้าน Ads impression 
  • มีลูกค้าใหม่กรอกฟอร์มเพื่อเข้าร่วมสัมมนาจาก Landing Page 
  • มีจำนวน Sales Qualified Lead จากลูกค้าใหม่ ทั้งหมด 8 account 

โดยแบรนด์สามารถนำตัวเลขจากผลสำรวจของ Gartner ใน 2020 Gartner Technology Marketing เป็นตัวเปรียบเทียบประสิทธิภาพจากแคมเปญได้ โดยแบ่งเป็นประสิทธิภาพ Conversion Rate ในแต่ละ Stage ตามภาพด้านล่างนี้ค่ะ

Marketing Funnel Conversion Rate Benchmarks จาก Gartner
Marketing Funnel Conversion Rate Benchmarks (ภาพโดย Gartner)

ออกแบบ Landing Page เพื่อให้เกิด Conversion 

เมื่อแบรนด์มีเป้าหมายของแคมเปญที่ชัดเจน ก็จะทำให้ทีมทำงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งหลักการออกแบบ Landing Page ให้ประสบความสำเร็จและเพิ่ม Conversion ดังนี้

2.1 เลือกกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับกลยุทธ์​ของแบรนด์ 

ใน 1 แคมเปญ แบรนด์สามารถสื่อสารไปในหลายกลุ่ม Segment ซึ่งสิ่งสำคัญคือ Criteria ในการแบ่งกลุ่ม Segment ต้องมีความชัดเจน และมีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เช่น การแบ่งตาม ความต้องการ (need), ปัญหาที่เจอ (problem), แรงจูงใจ (motivation) และ Journey ของลูกค้าในแต่ละ Stage 

2.2 ออกแบบการเล่าเรื่องราว (Storytelling) ที่ดี

ออกแบบประสบการณ์การเล่าเรื่องที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้า / บริการนั้นๆ เกี่ยวข้องกับเขา ช่วยแก้ปัญหาให้ของลูกค้าได้ โดยแฝงใร Message และ CTA ที่ใช้ตลอดทั้ง แคมเปญ

โดยการเล่าเรื่องราวที่ดี ประกอบด้วย 3C คือ 

  • Clarity ความชัดเจน 
  • Consistency ความสอดคล้องกัน
  • Continuity ความต่อเนื่อง 

โดยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ จะต้องสร้างความรู้สึกเร่งด่วนให้กับลูกค้าได้ ว่าทำไมลูกค้าควรที่จะ Take Action ที่แบรนด์ต้องการตอนนั้น และลูกค้าตัดสินใจทำตามที่แบรนด์ต้องการ 

ซึ่งการจะทำแบบนั้น แบรนด์ต้องมีการใส่ใจในทุกองค์ประกอบของแคมเปญเลย ตั้งแต่ Ads จนถึงหน้า Landing Page เช่น คำที่ใช้นั้นช่วยแก้ปัญหาอะไรบางอย่างให้ลูกค้าแต่ละ Stage หรือไม่ , การวาง CTA มีความน่าดึงดูดหรือไม่ , และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกเร่งด่วนว่าต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง และรู้ผลกระทบของการไม่ทำอะไร (Not Action) อีกด้วย 

ตัวอย่างในบ้านเรา เช่น TV direct ที่เล่าเรื่องราวว่าสินค้าแต่ละอย่างช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างไรแล้ว ก็มักจะปิดการขาย โดยสร้างความรู้สึกเร่งด่วนให้เราต้องรีบตัดสินใจ เช่น “หากคุณโทรมาภายใน 10 นาทีนี้ คุณจะได้รับโปรโมชันสุดพิเศษ ด่วน เฉพาะ 10 สายแรกเท่านั้น”

จากการสำรวจของ Gartner พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นถึงความแตกต่างของสินค้า / บริการที่แบรนด์ต้องการนำเสนอ

ซึ่งจากรูปด้านบนพบว่า 3 สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะ 

เหตุผลที่ลูกค้าทำให้ลูกค้ามองไม่เห็นความแตกต่างของสินค้า / บริการ จาก Gartner
เหตุผลที่ลูกค้าทำให้ลูกค้ามองไม่เห็นความแตกต่างของสินค้า / บริการ (ภาพโดย Gartner)
  1. ฟีเจอร์สและฟังก์ชันของ สินค้า/บริการ ส่วนใหญ่มักมีความใกล้เคียงกัน
  2. ผู้ให้บริการนั้นให้บริการได้กับลูกค้าทุกรูปแบบ ทั้งแบรนด์เล็กแบรนด์ใหญ่ และในทุกๆ อุตสาหกรรม ไม่เฉพาะเจาะจง
  3. ข้อความที่ใช้ฟังดูเหมือนๆ กัน

ซึ่งด้วยเหตุนี้ แบรนด์จึงต้องใส่ใจในเรื่องของ Storytelling , messaging ในทุกๆ องค์ประกอบ ตั้งแต่ copy , อีเมล, Landing Page ที่ถูกออกแบบให้มีความสอดคล้อง เชื่อมโยง และไปในทิศทางเดียวกัน และมีการเพิ่มความ Personalization ในการสื่อสารเพื่อสื่อสารอย่างเฉพาะเจาะจง ว่าเราสามารถแก้ปัญหาใน Specific challenge ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เจอ ณ ​ตอนนั้นได้อย่างไร ไม่ใช้สื่อสารแบบ Board Message อีกต่อไป

2.3 Call to Action กระตุ้นการตัดสินใจ และสะท้อนคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับอย่างชัดเจน

โดยหลักการออกแบบ Call to Action มีดังนี้ 

  • เน้นให้ลูกค้าเกิด Action : เลือกใช้คำที่ให้ลูกค้ากระทำอะไรบางอย่าง พร้อมกับสื่อสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับหลังจากทำ Action นั้นๆ เช่น ดาวน์โหลด White Paper , ลงทะเบียนกิจกรรม , รับข้อมูลก่อนใคร 
  • CTA ต้องวางในตำแหน่งที่หาได้ง่าย : เลือกใช้สีที่เด่น ตัดกับพื้นหลัง เพื่อให้ CTA มีความชัดเจน ทำให้สามารถดึงสายดาของผู้เข้าชม หลีกเลี่ยงการใส่องค์ประกอบในหน้า Landing Page เยอะเกินไปจนทำให้ CTA ไม่โดดเด่น โดยทีมออกแบบควรที่จะคำนึงถึงเรื่อง Accessibility เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้งานได้อย่างสะดวก เช่น มีการใส่ข้อความใน Alt Text 
  • มีความน่าดึงดูด : CTA ที่ดี ควรจะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึง sense of urgency ผ่านการเข้าใจจิตวิทยา และ เลือกใช้คำที่กระตุ้นให้ลูกค้ารีบทำ ลดเวลาในการตัดสินใจ เช่น : เหลือ 5 ที่สุดท้าย ,จำนวนจำกัด , ลดราคาถึงวันนี้เท่านั้น , โอกาสสุดท้าย , เฉพาะคุณ

2.4 ช่องทางการตลาด และข้อเสนอ สอดคล้องกันในแต่ละ Buying Cycle 

เลือกใช้ช่องทางการตลาด และข้อความที่เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย เช่น ลูกค้า A มักจะเปิดอีเมล แต่ไม่คลิก Facebook Ads ในขณะที่ลูกค้า B มีแนวโน้มคลิกผ่าน Facebook Ads ดังนั้นแบรนด์ต้องเลือกสื่อสารผ่านช่องทางที่ลูกค้าสะดวก

แบรนด์มีการออกแบบการเก็บ First Party Data ที่ดีก็จะสามารถสร้างโปรไฟล์ข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างครบครัน และทำให้การทำ Personalization ได้อย่างตรงจุด จนรู้จัก และ รู้ใจลูกค้าแต่ละคนว่าแต่ละคนมีความต้องการแบบไหน สะดวกช่องทางอะไร สื่อสารตอนไหนที่มีโอกาส CTR มากที่สุด ก็จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate และลูกค้าก็จะรู้สึก Engage กับแบรนด์ในระยะยาวอีกด้วย 

ซึ่งการทำ Personalization หน้า Landing Page สามารถทำได้ผ่าน Google Optimize ที่แบรนด์สามารถกำหนดได้ว่าลูกค้าแต่ละ Segment จะเห็นหน้า Landing Page แบบไหน เช่น แบรนด์เสื้อผ้า สามารถกำหนดได้ว่า หากกลุ่มลูกค้าที่อยู่ประเทศเมืองหนาว จะให้เห็น Landing Page ของสินค้าเสื้อกันหนาว และลูกค้าที่อยู่ประเทศเมืองร้อน จะเห็นสินค้าเสื้อต้อนรับ Summer เป็นต้น 

2.5 การดีไซน์เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดี 

มาสู่ขั้นตอนของการ Design องค์ประกอบต่างๆ บนหน้า Landing Page ให้ประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งหลักๆ แล้วมีองค์ประกอบดังนี้ 

เน้นข้อความที่สำคัญ : เน้นการออกแบบข้อความในหน้า Landing page โดย 

  • ใช้พาดหัวข้อ (Heading) ที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย โดยโฟกัสไปที่สิ่งสำคัญที่ลูกค้าจะได้รับ เพื่อจากการดำเนินต่อ 
  • พารากราฟแรกที่สนับสนุนหัวข้อ (Heading) ดังกล่าว โดยใส่รายละเอียดเพิ่มเติม 
  • สามถึงห้าหัวข้อย่อยที่สื่อสารคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ โดยการใช้ภาษาที่เน้นการดำเนินการ เช่น “เรียนรู้วิธี … ” หรือ “ดูตัวอย่างของ … “
  • ใช้ข้อความตัวหนาเพื่อดึงดูดความสนใจไปยังรายละเอียดที่สำคัญ 
  • ใส่คำรับรองจากลูกค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

เล่า Value​ ที่ลูกค้าจะได้รับ : หน้า Landing Page ควรที่จะบอกถึงประโยชน์หรือสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ แทนที่จะเล่าแต่เรื่องของฟีเจอร์จากมุมมองของแบรนด์อย่างเดียว 

การดีไซน์ที่มีความสอดคล้องกันทั้งแคมเปญ : มีการใช้ Text , Size , Page Layout ที่มีความสอดคล้องกัน ตั้งแต่ Ads จนถึง Landing Page

ให้รูปภาพเล่าเรื่องราวแทน : ควรเลือกใช้รูปภาพที่สามารถเล่าเรื่องราว สอดคล้องกับคำที่ใช้ในหน้า Landing Page ซึ่งการเลือกรูปภาพที่ดีนอกจากจะช่วยเพิ่ม engagement, เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเล่าเรื่องราวให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้าง Structure บนหน้า Landing Page ให้ดีขึ้น

ใช้ฟอร์มที่กระชับ : ในยุค Data Privacy การขอข้อมูลลูกค้าต้องมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ทั้งเรื่องการจัดเก็บข้อมูล และการนำข้อมูลไปใช้งานต่อ แบรนด์จึงควรเลือกขอข้อมูลเฉพาะที่ต้องการเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการขอข้อมูลในฟอร์ม (Lead Form) จะประกอบด้วย ชื่อ, อีเมล, ชื่อองค์กร, เบอร์โปรศัพท์, ตำแหน่ง, ตำแหน่งที่อยู่ (จังหวัด/ประเทศ) 

Call to Action (CTA) ที่มีความโดดเด่น : มีการออกแบบ CTA ในที่ๆ เห็นได้ชัด ที่ผู้เข้าชมไม่ต้องเลื่อนลงไปเพื่อที่จะกดปุ่ม CTA นั้นๆ 

Mobile-friendly : จากการสำรวจของ Adobe Digital Insights พบว่า Traffic มาจากถึงมากถึง 15% – 30% จาก Traffic ทั้งหมด ดังนั้นหน้า Landing Page ควรที่จะรองรับการใช้งานในอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อไม่ให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ไม่ได้ในการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแบรนด์จะออกแบบ Landing Page ตามไกด์ไลน์ด้านบนครบทุกข้อ แบรนด์ควรที่จะมีการทดสอบ(Test and Learn) แต่ละองค์ประกอบในแคมเปญนั้นๆ ซึ่งทำให้แบรนด์ได้ Insight จากการใช้งานจริง ว่าแต่ละองค์ประกอบที่ถูกออกแบบในหน้า Landing Page นั้นดีพอแล้วหรือยัง ควรปรับปรุงส่วนไหนเพิ่มเติมหรือไม่ 

ปรับปรุงหน้า Landing Page อยู่เสมอ 

เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงมีคำถามเหล่านี้ 

  • หน้า Landing page นี้ ดีที่สุดแล้วหรือยัง
  • จะเพิ่ม Engagement ของลูกค้าได้อย่างไร 
  • จะเพิ่ม Conversion Rate ได้อย่างไร 

แม้ว่าแบรนด์จะมีการทำตาม Guideline ด้านบนแล้ว ก็ยังต้องมีการทดสอบหน้า Landing Page นั้นๆ ในแต่ละองค์ประกอบก่อน เพราะสุดท้ายแล้วเราต้องดีไซน์ให้ถูกใจลูกค้าที่เป็นผู้ใช้งาน ไม่ใช้ดีไซน์ให้ถูกใจตัวแบรนด์เอง 

ดังนั้นก่อนที่แบรนด์จะ Launch campaign ก็ควรที่จะทดสอบประสิทธิภาพของแต่ละองค์ประกอบ เพื่อหาว่าองค์ประกอบไหนที่ดีอยู่แล้ว และองค์ประกอบใดที่ควรเปลี่ยนเพื่อ Optimize ตัว Landing Page ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยในตารางด้านล่างจะแสดงองค์ประกอบที่แบรนด์สามารถทดลองเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของแคมเปญให้ดีขึ้นได้

องค์ประกอบสิ่งที่ควรทดสอบเพื่อ Optimize ให้ดีขึ้น
ลักษณะของกลุ่มเป้าหมายทดสอบลักษณะของกลุ่มเป้าหมายได้ เพื่อหาว่าแบบไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด 
– Demographic : ตำแหน่ง / ที่อยู่
– สกิลที่ถนัด 
– เทคโนโลยีที่ใช้
กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์กลุ่มเป้าหมายนั้นมีความสอดคล้องกับเป้าหมายของแบรนด์หรือไม่ เช่น กลุ่มลูกค้าปัจจุบันที่มีการติดตั้งโปรแกรมของแบรนด์แล้ว โดยมีเป้าหมายคือการ Cross selling ลูกค้าปัจุบัน 
CTAsแบรนด์สามารถทดสอบ CTA เพื่อหาว่าแบบไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด 
– ใช้ CTAs แบบไหนดีกว่ากันระหว่าง Text , ปุ่ม , image links
– ดีไซน์ของปุ่ม เช่น สี, ขนาด,รูปร่าง 
– ตำแหน่งของ CTA มี 
– คำที่ใช้มีความดึงดูดพอหรือไม่ 
– จำนวน CTA ในหน้า Landing Page 
คำที่ใช้ (Messaging / Copy) แบรนด์สามาถรทดสอบได้ว่า คำ หรือ เรื่องราวแบบไหนที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด โดยดูแต่ละองค์ประกอบ เช่น 
– สื่อสารคุณค่าต่อกลุ่มเป้าหมายเพียงพอหรือไม่ 
– Subject line
– Landing Page Header 
– ระดับของการสื่อสารแบบ Personalization 
– Font style เช่น ตัวหนา ตัวเอียง 
ฟอร์มฟอร์มเป็นส่วนสำคัญที่สุดว่าแบรนด์จะได้ข้อมูลของลูกค้าหรือไม่ จึงต้องมีการ Optimize ให้ดีที่สุด 
– ระยะห่าง การจัดเรียงของฟอร์ม 
รูป/ไอคอนสำหรับรูปที่ใช้ในหน้า Landing Page สิ่งที่สามารถทดสอบได้คือ
– สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้ดีพอหรือไม่ 
– รูปนิ่ง หรือ รูปแบบ Animation ได้ผลดีกว่ากัน 
– ตำแหน่งของรูป
– สี และ ขนาดของรูป
Ads / Emailสำหรับรูปที่ใช้ Ads/ Email สิ่งที่สามารถทดสอบได้คือ
– Layout ของ Ads/Email 
– Copy เช่น คำที่ใช้, ความยาว , ขนาดของ Font 
Page Layout สิ่งที่สามารถทดสอบ Page Layout ได้คือ
– การจัดเรียงตามลำดับความสำคัญ 
– Copy เช่น คำที่ใช้, ความยาว , ขนาดของ Font 
– การใช้กราฟิกและสีสัน 
องค์ประกอบและสิ่งที่แบรนด์ควรทดสอบ เพื่อ Optimize ให้ดีขึ้น

การทดสอบองค์ประกอบต่างๆ นั้นสามารถทำได้ผ่านการทำ A/B Testing ผ่านเครื่องมือ Google Optimize เพื่อทดสอบว่าองค์ประกอบที่สร้าง Conversion ได้มากที่สุด โดยช่วงเวลาของการทดสอบองค์ประกอบ สามารถทำได้โดย

  • ก่อนที่จะปล่อยแคมเปญ : Test กับคนกลุ่มเล็กๆ ก่อนเพื่อหาองค์ประกอบที่ดีที่สุด แล้วค่อยปล่อยให้กับลูกค้าเป้าหมายทั้งหมด 
  • หลังจากปล่อยแคมเปญ : เป็นการ Optimize ระหว่างทาง ว่าผลลัพธ์ที่ได้นั้นตรงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ในตอนแรกไหม จุดไหนที่มีปัญหามี Drop off เยอะ จากนั้นก็ทำการทดสอบสมมติฐาน ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ 

หาก Landing Page ดี จะช่วยแบรนด์ยังไงบ้าง

1. เพิ่มความสำเร็จให้แคมเปญนั้นๆ 

Landing Page ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้แคมเปญนั้นๆ ซึ่งแบรนด์ควรหมั่นวัดผลในแต่ละ Stage และมีการ Optimize แต่ละองค์ประกอบอยู่เสมอ

2. เพิ่ม Conversion Rate 

หาก Landing Page มีการสื่อสารแบบ 3C ซึ่งประกอบด้วย Clarity ความชัดเจน , Consistency ความสอดคล้องกัน และ Continuity ความต่อเนื่อง ตลอดทั้ง Journey ตั้งแต่เห็น Ads จนถึงหน้า Landing Page ก็จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

3. เพิ่ม Quality Score 

แบรนด์ที่มีการทำ SEM หากมีการออกแบบ “คีย์เวิร์ด + ข้อความโฆษณา + user experience + หน้า Landing Page” ที่ดี ก็จะส่งผลต่อ “คะแนนคุณภาพ (Quality Score)” ที่สูงขึ้นได้ ซึ่งนำไปสู่ “ตำแหน่งโฆษณาของคุณ (Ad Rank)” 

4. Remarketing อย่างตรงจุด

แบรนด์สามารถนำข้อมูล Traffic ที่เข้ามาที่หน้า Landing Page ไปทำการ Remarketing ต่อได้ โดยดึงข้อมูลจาก Google Analytics มาทำ Rule-base segmentation เช่น ลูกค้าที่เข้ามาหน้าเว็บไซต์นี้แล้ว แต่ยังไม่กรอกฟอร์ม หรือ ลูกค้าที่คลิกดูวิดิโอในหน้า Landing Page และอยู่ในหน้าหน้านั้นเกิน 30 วินาที 

และทำการ Remarketing ซึ่งสุดท้ายแล้วแบรนด์อาจจะใช้เงินในการทำโฆษณาเท่าเดิม แต่หาลูกค้าได้เพิ่มขึ้น 

คำแนะนำสำหรับการออกแบบ Landing Page ที่ดี

Landing Page เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้แคมเปญประสบความสำเร็จ แบรนด์จึงควรมีการใส่ใจ โดยก่อนที่จะสร้างหน้า Landing Page นั้น แบรนด์ต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และมีการตั้งตัววัดผล (KPIs) ในแต่ละ Stage ให้ชัดเจน กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกัน

จากนั้นออกแบบ Landing Page ตามไกด์ไลน์การออกแบบ Landing Page ด้านบน เพื่อออกแบบประสบการณ์ของผู้ใช้งานตลอดทั้ง journey ตั้งแต่เห็น Ads จนถึงขั้นตอนกรอกฟอร์มเพื่อดาวน์โหลด ให้ดีที่สุด 

โดยหน้า Landing Page ควรจะมีการทำ Personalization เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแต่ละ Segment ที่มีความต้องการแตกต่างกัน เพื่อให้เรื่องราวในหน้า Landing Page เชื่อมโยงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้นผ่านเครื่องมือ Optimize 360

ซึ่งแบรนด์ควรจะทดสอบแต่ละองค์ประกอบของแคมเปญ เพื่อหาองค์ประกอบที่สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดกับลูกค้า และสร้าง Conversion ให้แบรนด์มากที่สุดเพื่อ Optimization แคมเปญอยู่เสมอ 

หากแบรนด์ใดต้องการที่จะออกแบบประสบการณ์ของแคมเปญ และสามารถวัดผล ROI แบบจับต้องได้ ติดต่อที่ Predictive ได้เลยค่ะ เรามีบริการทั้งในส่วนของ User Experience และ Advanced Data Analytics ค่ะ

Source: Gartner