ระหว่าง SEO กับ SEM ควรโฟกัสที่อะไรก่อนดี ?

ระหว่าง SEO กับ SEM ควรโฟกัสที่อะไรก่อนดี ?

ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่า SEO กับ SEM คืออะไร มีหน้าที่และให้ผลลัพธ์ต่างกันอย่างไร เพื่อให้เราสามารถวาางแผนการใช้งานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

SEO คืออะไร

Search Engine Optimize หรือ SEO เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของแบรนด์ขึ้นหน้าแรกของการค้นหาบน Search Engine โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา โดยการปรับเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ รองรับการติดอันดับบน Google ผ่านการออกแบบโครงสร้างต่างๆของเว็บไซต์และคอนเทนต์ การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์เรามีผู้ใช้งานเข้ามามากขึ้น เพราะจะเป็นเว็บแรกๆที่จะขึ้นมาเมื่อลูกค้ากดค้นหาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ และจะส่งผลให้รายได้สูงขึ้น พร้อมทั้งสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ในระยะยาว ทำให้แบรนด์ได้ Lead ที่มีคุณภาพจริงๆ และแม้จะหยุดทำ SEO สักพัก ก็ไม่ส่งผลต่ออันดับของเว็บไซต์ใน Search Engine มากนัก จนกว่าจะมีคู่แข่งเบียดขึ้นมา 

SEM คืออะไร

SEM เป็นการทำการตลาดบน Search Engine ซึ่งแบรนด์ต้องมีการประมูล Keyword เพื่อให้โฆษณาแสดงผลตามการค้นหาหน้าแรก โดยแบรนด์จะต้องจ่ายเงินตามจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า PPC (Pay per click) ซึ่งค่า PPC จะขึ้นอยู่กับความนิยมของ Keyword นั้นๆ โดยอันดับตำแหน่งของโฆษณาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Quality Score ที่ระบบจะดูว่าคำ Keyword ที่แบรนด์ประมูล มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์มากน้อยแค่ไหน เมื่อแบรนด์หยุดจ่ายเงินค่าโฆษณาเมื่อไหร่ โฆษณาก็จะหยุดไปด้วย ซึ่งทำให้ยอด Traffic ที่เคยเยอะนั้นลดฮวบในพริบตา 

แบรนด์ควรโฟกัสที่อะไรก่อน ?

แต่ละแบรนด์มี condition และ challenge ไม่เหมือนกัน เราขอแบ่งคำตอบออกเป็น 3 ข้อตามเงื่อนไขดังนี้

แบรนด์ที่มีคนรู้จักเยอะอยู่แล้ว หรือแบรนด์ที่อยู่มานาน

การที่เราจะใช้ SEO ก็จะส่งผลบวกกับแบรนด์มากกว่า เพราะถ้าผู้ใช้งานเสิร์ชหาสิ่งที่สนใจ เมื่อเว็บของเราขึ้นมาในหน้าแสดงผลการค้นหา ก็มีแนวโน้มว่าผู้ใช้งานจะคลิกเข้ามาอ่านมากกว่า และถ้าในเว็บไซต์มีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ ตรงใจและตอบโจทย์ของผู้อ่าน ก็จะทำให้ผู้ใช้งานอยู่ในหน้านั้นนานขึ้น ส่งผลให้ Domain Rating ของเว็บไซต์สูงขึ้นไปด้วย ทีนี้การทำ SEO&SEM ของแบรนด์ใหญ่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 เงื่อนไขดังนี้

  1. หากแบรนด์ที่ไม่อยากทำ SEM: ให้โฟกัสที่ Structure ก่อนเพราะจะช่วยในส่วนของ On-Page SEO Content และ Structure ของเว็บไซต์ที่รองรับ SEO โดยอาจจะเพิ่มจำนวนคอนเทนต์ที่จะลงต่อเดือน หรือต่อ 1 Keyword ควรมีคอนเทนต์ 10 คอนเทนต์มารอบรับ Keyword นั้นๆ
  2. หากแบรนด์อยากทำ SEM: ให้โฟกัสที่จุดประสงค์และเป้าหมายของแบรนด์ ถ้าแบรนด์อยากเป็นที่รู้จัก (Awareness) ให้เลือกยิง SEM แบบ Cost Per Impression หรือ Cost Per Click แต่ถ้าต้องการสร้างยอดขายให้เกิดรายได้จากการทำ SEM ให้เลือกยิงแบบ Cost Per Lead

แบรนด์ที่อยากแย่ง Keyword ที่คู่แข่งสามารถได้ Traffic แบบระยะสั้น

ควรซื้อ SEM Keyword นั้นๆของคู่แข่งที่เราสนใจ โดยไปศึกษาเค้าว่าใช้คำว่าอะไรบ้าง แล้วสู้ด้วยการซื้อ SEM สะเลย ทีนี้เราก็จะขึ้นมาอยู่เหนือคู่แข่ง เพราะ SEM จะขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆก่อน Organic หรือ SEO อันดับที่ 1 เสียอีก แต่ก็มีบางครั้งที่ Domain Rating ของเว็บไซต์ยังไม่ดี อาจจะทำให้ไปแสดงผลอยู่ที่ลำดับสุดท้ายได้

และถ้าเราอยากแย่ง Keyword ของคู่แข่งจริงๆ ต้องรู้ตัวเองก่อนว่า Keyword ที่เราอยากแย่งนั้น มีคนเสิร์ชเท่าไหร่ เราได้ส่วนแบ่งจากการคลิกอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วจะต้องทำคอนเทนต์อีกเยอะแค่ไหน ถ้าเป็น Keyword ที่คู่แข่งครองมายาวนานมากๆ เราต้องซื้อ SEM แน่ๆ เพราะยากที่จะไปแย่ง Keyword ที่คู่แข่งแข็งแรงมากๆมาเป็นของเรา

สำหรับเว็บไซต์ใหม่ ไม่มีคนรู้จักเลย

  1. การทำ SEO อาจจะใช้เวลาเป็นปีๆหรือนานกว่านั้น เพราะฉะนั้น SEM จะให้ผลลัพธ์ที่ทันใจกว่า ถือเป็น shortcut สู่การเป็นที่รู้จัก และในขณะเดียวกันก็ควรทำ SEO ไปด้วย
    1. เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเพิ่ม Traffic ในช่วงแรกโดยใช้ Paid Traffic จากการยิง Pay Per Click 
    2. เริ่มทำโครงสร้างของเว็บไซต์ให้ถูกหลัก SEO และควบคู่ไปกับการทำ SEM เพื่อเพิ่ม Traffic ได้ทันที ในช่วงที่กำลัง Build SEO อยู่

คำแนะนำ 6 ข้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ SEO

การทำ SEO มี 2 แบบ คือการปรับแต่งสิ่งที่อยู่ในเว็บไซต์ (On-page SEO) กับการที่เราฝากให้คนอื่นส่ง Traffic มาให้เรา (Off-page SEO) วันนี้ Predictive ขอแนะนำ 6 Quick Win ที่จะทำให้ SEO Rank ของคุณสูงขึ้น

  1. เนื่องจาก Google จะมี Bot ไว้สำหรับเป็นตัว Crawler ข้อมูลต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ ข้อความ วิดิโอ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าค้นหาของ Google สิ่งที่เราต้องทำเพื่อพาเว็บไซต์ของเราไปให้ Google (ที่เป็น Search engine) รู้จัก ก็คือการสร้าง Sitemap และส่งไปหา Google ผ่าน Google Search Console
  2. [On-Page SEO] ทำให้เว็บไซต์รองรับขนาดหน้าจอหลากหลาย (Responsive Web Design) เช่น รองรับการทำงานทั้ง มือถือ ipad notebook และอุปกรณ์อื่นๆ 
  3. [On-Page SEO] ออกแบบหน้าเว็บไซต์ ให้มี Customer Experience ที่ดี ใช้งานง่าย เช่น การแบ่ง Category ที่ชัดเจน การเลือกใช้สี,font ที่เหมาะสม 
  4. [On-Page SEO] เว็บไซต์ต้องโหลดได้ไว โดยแบรนด์ควรทิ้งปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น ลดขนาดรูป โดยเเบรนด์สามารถเช็คคะแนนการความเร็วการดาวน์โหลดเว็บไซต์เบื้องต้นได้จาก Google Search Console 
  5. [On-Page SEO] หมั่นสร้างคอนเทนต์ที่ดี และแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งาน [โดยเข้าใจถึงพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่นถ้าผู้ใช้งานเกิดปัญหา หรืออยากได้ข้อมูลบางอย่าง แล้วมาเสิร์ชหาคำตอบ คอนเทนต์ที่สามารถตอบคำถามและแก้ปัญหานั้นๆได้ คอนเทนต์เหล่านั้นจะตรงใจและตอบโจทย์ลูกค้า] โดยเลือกใช้คำ Keyword ประกอบคอนเทนท์ที่มีคนเสิร์ชค้นหาเยอะ 
  6. [Off-Page SEO] สร้าง Backlink จากเว็บ / Social Media ที่มีคุณภาพให้ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของแบรนด์ เช่น โพสต์เนื้อหาใน Mediem แล้วลิงก์เนื้อหาบางส่วนกลับมาที่เว็บไซต์ เป็นต้น 

สรุป

สิ่งสำคัญคือวันนี้หลายๆคนอาจจะยึดติดกับการที่เว็บของเราจะต้องติดอันดับดีๆ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ แต่จริงๆแล้วเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า Keyword ไหนที่มีผลต่อธุรกิจของเรา เช่น มี Search Volumn ที่ทำให้เกิดยอดขาย เพราะ Keyword เหล่านี้อาจจะไม่ได้มีผลต่อคู่แข่งแม้ว่าเราจะทำธุรกิจเดียวกันก็ตาม ซึ่งเราเรียก Keyword ประเภทนี้ว่า “Money Key” และการที่เราจะหา Money Key ได้คือเราจะต้องรู้ Online Goal ของตัวเองก่อน โดยการติดตั้ง Google Analytics 4 เพื่อติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรม ที่เกิดขึ้นใน Customer Journey 

หากใครต้องการที่ปรึกษาที่พร้อมลงมือทำทุกขั้นตอนไปด้วยกัน ตั้งแต่วางแผน ไปจนถึงลงมือทำ เราให้บริการตั้งแต่

  1. เก็บข้อมูลจากการ Monitor  Customer Journey อย่างใกล้ชิดเพื่อนำมาวิเคราะห์หา Insight 
  2. วางแผนจาก Customer Journey และ Insight ที่ได้ มาระบุตอนนี้ธุรกิจของคุณอยู่ใน Stage ไหน และจะต้องดำเนินการในส่วนใดบ้าง เพื่อให้คุณได้ไปถึง Stage ที่ตั้งเป้าหมายไว้
  3. ดำเนินการตามแผนที่เราได้วางไว้ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับ SEO Element หรือเขียนบทความเพื่อโพสต์ลงเว็บไซต์
  4. รายงานผลการดำเนินการ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในขั้นตอนถัดไป เพื่อให้ผลลัพธ์ในการลงทุนครั้งนี้ส่งผลกระทบที่ยั่งยืนกับธุรกิจของคุณ

และถ้ายังไม่มั่นใจว่าควรเริ่มต้นทำ SEO ที่ตรงไหนก่อนดี ก็สามารถติดต่อ Predictive ได้เลยครับ เรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย