การเลือกเครื่องมือ Martech

หยุดเลือกเครื่องมือ Martech แค่เพราะฟีเจอร์! ถึงเวลาเลือกเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย “ผลลัพธ์ทางธุรกิจ” ได้จริง

ในยุคที่การตลาดต้องขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี การเลือกเครื่องมือ Martech (Marketing Technology) ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ฟีเจอร์ครบ” อีกต่อไป แต่คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อทั้งประสิทธิภาพของทีมและผลลัพธ์ทางธุรกิจโดยตรง

หลายองค์กรพบกับความท้าทายจากการลงทุนใน Martech ที่ดูดีบนกระดาษ แต่กลับใช้งานจริงได้ไม่เต็มศักยภาพ หรือกลายเป็น “ต้นทุนจม” เพราะทีมงานไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้จริง ปัญหาเหล่านี้มักเริ่มต้นจากวิธีคิดที่มุ่งเปรียบเทียบคุณสมบัติของเครื่องมือ (feature comparison) โดยขาดการนิยาม “เป้าหมายที่ต้องการบรรลุ” ให้ชัดเจนก่อน

เพื่อแก้โจทย์นี้ Gene De Libero ผู้เชี่ยวชาญด้าน Martech และที่ปรึกษาหลักแห่ง Digital Mindshare LLC ได้เสนอ “Outcome-Driven Framework for Core Martech Selection” ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่ช่วยให้ผู้นำการตลาดสามารถเลือกเทคโนโลยีอย่างมีกลยุทธ์ โดยเน้นผลลัพธ์ที่จับต้องได้แทนการเลือกตามกระแส

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับหลักการทั้ง 4 ด้านของเฟรมเวิร์กนี้ พร้อมแนวทางนำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินและเลือกเครื่องมือ Martech ที่ตอบโจทย์ทั้ง “เป้าหมายทางการตลาด” และ “ความเป็นจริงขององค์กร” อย่างแท้จริง

Martech คืออะไร?

Martech ย่อมาจากคำว่า Marketing Technology ซึ่งหมายถึงเครื่องมือและระบบต่าง ๆ ที่ทีมการตลาดใช้เพื่อวางแผน ดำเนินงาน และวัดผลกิจกรรมทางการตลาดในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการทำ Email Marketing, ระบบจัดการข้อมูลลูกค้า (CDP), ระบบวิเคราะห์ข้อมูล, ไปจนถึงเครื่องมือที่ช่วยสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ให้กับลูกค้าในทุกช่องทาง

เครื่องมือ Martech เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ทีมการตลาดทำงานได้คล่องตัวขึ้น ตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าได้เร็วขึ้น และที่สำคัญคือช่วยเชื่อมโยงกิจกรรมทางการตลาดกับเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

ตัวอย่างประเภทของเครื่องมือ Martech ที่มักพบได้

ทำไมเราต้องใส่ใจวิธีเลือกเครื่องมือ Martech เหล่านี้ให้ถูกต้อง?

การเลือก Martech ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปรียบเทียบฟีเจอร์ว่าใครทำอะไรได้บ้าง แต่คือการประเมินว่าเครื่องมือนั้น สามารถสร้าง “ผลลัพธ์ทางธุรกิจ” ที่เราต้องการได้จริงหรือไม่

หลายองค์กรลงทุนในแพลตฟอร์มที่ดูดีในเชิงเทคนิค แต่เมื่อนำมาใช้จริงกลับพบว่าใช้งานยาก ทีมงานปรับตัวไม่ทัน หรือต้องพึ่งพานักพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถสร้างความคล่องตัวให้กับทีมได้จริง สุดท้ายกลายเป็นการลงทุนที่ไม่คืนค่า (ROI ไม่ชัด) และเครื่องมือเหล่านั้นก็ถูกใช้งานน้อยหรือไม่ได้ใช้เลย

เพราะฉะนั้น วิธีที่แนะนำคือการเลือก Martech ด้วยแนวทางที่เรียกว่า Outcome-Driven Framework โดยเริ่มจากการนิยาม “ความสำเร็จ” ที่ต้องการให้ชัดเจน เช่น

  • ต้องการลดเวลานำแคมเปญสู่ตลาด
  • ต้องการให้ทีมการตลาดสามารถปรับเปลี่ยนแคมเปญได้เองโดยไม่ต้องพึ่งไอที
  • หรือเน้นสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ต่อเนื่องในทุกช่องทาง

จากนั้นจึงค่อยประเมินว่าเครื่องมือใดตอบโจทย์ “ผลลัพธ์” เหล่านี้ได้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่มีฟีเจอร์ครบ แต่ต้องใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ชัดเจน วัดผลได้จริง และพร้อมรองรับการเติบโตขององค์กรในระยะยาว

หลักการเลือกเครื่องมือ Martech 4 ข้อ

1. ผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact):

เน้นการเลือกเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรเคลื่อนที่เร็ว ปรับตัวไว และสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจน

  • Market Acceleration: เครื่องมือควรลดระยะเวลาในการนำแคมเปญสู่ตลาด ด้วย UX ที่ใช้งานง่าย โครงสร้างแบบโมดูล และกระบวนการอนุมัติที่ไม่ซับซ้อน
  • Operational Adaptability: ทีมสามารถปรับเปลี่ยนหรือออกแบบประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพานักพัฒนามากเกินไป
  • Measurable Value: มีระบบวัดผลในตัว ช่วยเชื่อมโยงกิจกรรมการตลาดกับเป้าหมายที่วัดผลได้ เช่น รายได้ ต้นทุน หรือการจัดการความเสี่ยง

2. การดำเนินงานของทีมการตลาด (Marketing Operations – MOps):

ดูว่าเครื่องมือนั้นเปลี่ยน “วิธีการทำงานของทีม” ไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่

  • Component-Based Flexibility: ทีมสามารถจัดเรียงหรือประกอบประสบการณ์การใช้งานจากชิ้นส่วน (components) ได้อิสระ มีไลบรารีหรือ template พร้อมใช้
  • Practical Personalization: เครื่องมือทำ personalization ที่ซับซ้อนให้เป็นเรื่องที่ “ทำได้จริง” ไม่ต้องพึ่งพา Dev ตลอดเวลา
  • Reduced Technical Dependencies: นักการตลาดสามารถแก้ไขหน้า ปรับ layout หรือสร้าง segment ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องส่งงานให้ไอทีเสมอไป

3. ประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience):

ประเมินว่าเครื่องมือสามารถตอบสนองความคาดหวังที่สูงขึ้นของลูกค้าในยุคดิจิทัลได้แค่ไหน

  • Cross-Channel Coherence: สร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องในทุกช่องทาง เช่น เว็บ แอป อีคอมเมิร์ซ
  • Speed & Responsiveness: เครื่องมือมีความเร็วทั้งในฝั่งผู้ใช้งาน (Frontend) และฝั่งระบบ (Backend) รองรับการใช้งานภายใต้โหลดสูง
  • Efficient Market Adaptation: รองรับการปรับให้เหมาะกับแต่ละประเทศหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่น ระบบแปลเนื้อหา การนำเนื้อหากลับมาใช้ใหม่ และการจัดการ localized content

4. สถาปัตยกรรมทางเทคนิค (Technical Architecture):

แม้จะเป็นเรื่องของทีม IT แต่ผู้นำการตลาดควรเข้าใจพื้นฐาน เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือจะขยายต่อได้ในอนาคต

  • Service-Based Architecture: แพลตฟอร์มควรมีโครงสร้างแบบ composable ที่ต่อ API ได้สะดวก ผสมผสานบริการจากหลายระบบได้
  • Ecosystem Connectivity: รองรับการเชื่อมต่อกับ Martech อื่น ๆ และระบบองค์กร เช่น CRM, CDP หรือระบบ Automation
  • Developer Support: เครื่องมือควรสนับสนุนนักพัฒนาอย่างแท้จริง เช่น มี Dev Kit, เอกสารชัดเจน, และระบบทดสอบที่ใช้งานได้จริง

เพราะการเลือก Martech ที่เหมาะสม ไม่ได้มีคำตอบตายตัว และไม่ควรถูกจำกัดอยู่แค่ “สิ่งที่ระบบทำได้” แต่ควรเริ่มจากการเข้าใจสิ่งที่ธุรกิจต้องการทำให้สำเร็จจริง ๆ

Predictive เชื่อว่าเครื่องมือที่ดีไม่ใช่เครื่องมือที่ฟีเจอร์เยอะที่สุด แต่คือเครื่องมือที่เหมาะกับโจทย์ของคุณที่สุด เราจึงมุ่งให้คำปรึกษาอย่างรอบด้าน เพื่อช่วยให้คุณมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างกลยุทธ์ เทคโนโลยี และศักยภาพของทีมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังมองหาแนวทางในการตัดสินใจเรื่อง Martech โดยอยากได้ความมั่นใจมากกว่าความสับสน เราพร้อมช่วยคุณมองภาพให้ออกก่อนตัดสินใจเดินหน้าเลือกเครื่องมือ Martech

ที่มา https://martech.org/an-outcome-driven-framework-for-core-martech-selection/

📋 แบบฟอร์มด้านล่าง หรือ

📞โทร. 02-096-6362 กด 2 เพื่อติดต่อฝ่ายขาย

📱 Line: @predictive (มี @ ด้วยนะคะ)

✉️ Email : marketing@predictive.co.th

How we can help

Fill out the form below to discuss your needs or learn more about our services

"*" indicates required fields

Name*
Please let us know what's on your mind. Have a question for us? Ask away.