Lead และ Lag Metrics ช่วยสร้าง SEO Benchmarks อย่างสมดุลและครบองค์รวม มีกลยุทธ์การปรับตัว สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จคงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีการตั้ง Benchmark อย่างตรงเป้าเพราะ Benchmark คือเกณฑ์มาตรฐานที่มีไว้เพื่อเปรียบเทียบว่าที่ผ่านมากลยุทธ์การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดและระยะทางข้างหน้าใกล้เข้าถึงหมุดหมายความสำเร็จแล้วหรือไม่
เชื่อว่าคนทำงาน SEO ต่างเข้าใจตรงกันดีว่าเวลาคือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO ดังนั้นแล้วเพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนที่มีมูลค่าสูงอย่างเวลาได้อย่างคุ้มค่า การปัก Benchmark SEO ให้ตรงเป้าจึงเป็นหัวใจสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
เหตุผลสำคัญที่การปัก Benchmark คือสิ่งจำเป็นเมื่อลงมือทำ SEO แบบเน้นเป้าหมาย
- วัดผลความคืบหน้า ติดตามได้ว่าผลลัพธ์พัฒนาขึ้นอย่างไร
- สร้างเป้าหมายที่ชัดเจน รู้ทิศทางในการทำ SEO ให้ไม่ไขว้เขว
- ประเมินประสิทธิภาพตามความเป็นจริงอย่างมีข้อมูลรองรับ
- ปรับกลยุทธ์อย่างทันท่วงที เห็นจุดอ่อนจุดแข็ง ปรับตัวได้ไว
- จัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม บริหารความสำคัญได้อย่างแม่นยำ
- รายงานผลและสื่อสารได้อย่างราบรื่น สร้างความเข้าใจร่วมกันในทีมและองค์กร
หากเปรียบการทำ SEO เสมือนเป็นการเดินทางเพื่อไปถึงจุดหมาย Roadmap ของแต่ละธุรกิจจะสมบูรณ์และสมจริงมากขึ้นได้ก็ด้วยกลยุทธ์วางแผนเส้นทางข้างหน้าร่วมกับการทบทวนเส้นทางที่เดินทางผ่านมา นี้จึงเป็นเหตุผลที่กลยุทธ์ Lead และ Lag Metrics มีความสำคัญต่อการทำ SEO นั่นเอง
Lead Metrics คืออะไรใน Benchmark ของการทำ SEO
Lead Metrics หรือ Driver Metrics คือตัวชี้วัดเพื่อมองการณ์ไกลและคาดคะเนผลลัพธ์ในอนาคต ยกตัวอย่าง Lead Metrics ในการทำ SEO เช่น
- Click-Through Rate (CTR)
- Bounce Rate
- Page Load Speed
- Time On Page
- Page Per Session
- Conversion Rate by Traffic Source
- Indexed Pages
- Inbound Links
Lag Metrics คืออะไรใน Benchmark ของการทำ SEO
Lag Metrics หรือ Outcome Metrics คือตัวชี้วัดที่แสดงผลถึงผลลัพธ์จากการกระทำที่ผ่านมาในอดีตเพื่อช่วยให้สามารถประเมินและทบทวนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ เช่น
- Organic Traffic
- Keywords Ranking
- Conversion Rate
- Domain Authority
- Backlinks
Lead vs Lag Metrics ต่างกันอย่างไร
สรูปใจความอย่างง่ายๆ Lead Metrics คือ ตัวชี้วัดที่มองไปยังผลลัพธ์ที่คาดหวังให้เกิดขึ้นในอนาคต ในขณะที่ Lag Metrics คือ ตัวชี้วัดที่ย้อนมองผลลัพธ์ที่ผ่านมาในอดีตว่าสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ความแตกต่างของตัวชี้วัดทั้ง 2 นี้สามารถเปรียบเทียบได้เป็นตารางดังนี้
Aspect | Lead Metrics | Lag Metrics |
Timing | Forward-looking, predictive indicators | Historical, retrospective indicators |
Focus | Actionable insights for real-time adjustments | Results and outcomes of past efforts |
Influence | Drive and influence future outcomes | Reflect the impact of past actions |
Purpose | Identify potential issues and trends | Evaluate overall success and performance |
Applicability | Used for making proactive decision | Used for assessing long-term impact |
Example Metrics | Click-Through Rate (CTR) Bounce Rate Page Load Speed Mobile Traffic and Conversions Indexed Pages Inbound Links | Organic Traffic Conversion Rate Revenue Keyword Rankings Backlink Quality Domain Authority Conversion Rate by Traffic Source Revenue/ROI |
Benefits | Early identification of potential issues | Understanding overall campaign effectiveness |
Proactive adjustments to optimize strategies | Demonstrating long-term success Real-time adaptability to trends | |
Identifying areas for improvement | ||
Informing resource allocation |
Lead และ Lag Metrics ช่วยสร้าง Benchmark ที่ตรงเป้าได้อย่างไร
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจมีคำถามในใจว่าการแบ่งตัวชี้วัดออกเป็น Lead และ Lag Metrics จะช่วยสร้าง Benchmark การทำ SEO ที่ตรงเป้าได้อย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดมากที่สุด คือการทำ SEO ในรูปแบบ Data-Driven Strategy ที่อาศัยทั้งข้อมูลเรียลไทม์และข้อมูลในอดีตเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังสร้างกรอบการทำงานที่วัดผลความพัฒนาไปพร้อมกับความสำเร็จ ได้แก่
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจมีคำถามในใจว่าการแบ่งตัวชี้วัดออกเป็น Lead และ Lag Metrics จะช่วยสร้าง Benchmark การทำ SEO ที่ตรงเป้าได้อย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดมากที่สุด คือการทำ SEO ในรูปแบบ Data-Driven Strategy ที่อาศัยทั้งข้อมูลเรียลไทม์และข้อมูลในอดีตเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังสร้างกรอบการทำงานที่วัดผลความพัฒนาไปพร้อมกับความสำเร็จ ได้แก่
- การประเมินแบบองค์รวม (Holistic Assessment)
- พร้อมปรับรับกับความเปลี่ยนแปลง
- ตัดสินใจเชิงรุก
- ปรับศักยภาพได้ในเรียลไทม์
- ตอบรับกับเป้าหมายทางธุรกิจ
- ติดตามความก้าวหน้าและการเติบโต
- วิเคราะห์ประสิทธิภาพ
แน่นอนว่าที่ Predictive เรามีบริการทำ SEO โดยทีมงานคุณภาพพร้อมซัพพอร์ตทุกก้าวย่างของการผลักดันเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมาสู่ธุรกิจของคุณ การทำงานของทีม SEO ที่พรีดิกทีฟจะครอบคลุมตั้งแต่
- Strategy & Keyword Planning โดยการวางกลยุทธ์การทำ SEO ตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อให้ธุรกิจของคุณไปถึงฝั่งฝันด้วยแผนการทำ SEO ที่ customized มาเพื่อธุรกิจของคุณโดยเฉพาะพร้อมด้วยการวิเคราะห์ Keyword ด้วย Keyword Research รวมทั้งการทำ SEO Audit และ Competitive Analysis เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถลำดับความสำคัญและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- On-Page Optimization ตั้งแต่การ Audit Site Structure จัดทำ Template Guideline เพื่อวางแนวทางการทำ SEO ไปจนถึง SEO On-Page Optimization
- Content Scope การผลิตคอนเทนต์คุณภาพเล่าถึง Brand Narrative เพื่อเพิ่ม Search Visibility ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
- On-Page Improvement Implementations จัดทำ Template Guideline เพื่อให้การทำ SEO เกิดผลสำเร็จ
- Off-Page Planning & Analysis ตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพการทำ Backlinks วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อให้ธุรกิจของคุณอยู่เหนือกว่า รวมถึงวางแผนการทำ Backlinks ในอนาคต
- Monitoring, Analysis, & Reporting การติดตามผลการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์สถานการณ์และผลลัพธ์การทำ SEO พร้อมรายงานผลสรุปเพื่อให้ธุรกิจของคุณเห็นภาพรวมทั้งหมดและสามารถ
ใครที่กำลังหนักใจกับ Organic Traffic ที่ไม่เพิ่มขึ้นสักที หรือ ต้องการที่จะทำอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม หากต้องการทีม SEO คุณภาพมาช่วย Optimize เว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม สามารถติดต่อ Predictive เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย และเรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นฟรี
Get in touch
Let's work together!
"*" indicates required fields