Lead-vs-Lag-Metrics-ปัก-Benchmark-SEO-ให้ตรงเป้า

กลยุทธ์ Lead vs Lag Metrics ปัก SEO Benchmarks ให้ตรงเป้า

Lead และ Lag Metrics ช่วยสร้าง SEO Benchmarks อย่างสมดุลและครบองค์รวม มีกลยุทธ์การปรับตัว สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จคงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีการตั้ง Benchmark อย่างตรงเป้าเพราะ Benchmark คือเกณฑ์มาตรฐานที่มีไว้เพื่อเปรียบเทียบว่าที่ผ่านมากลยุทธ์การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดและระยะทางข้างหน้าใกล้เข้าถึงหมุดหมายความสำเร็จแล้วหรือไม่ 

เชื่อว่าคนทำงาน SEO ต่างเข้าใจตรงกันดีว่าเวลาคือต้นทุนที่สำคัญที่สุดของการทำ SEO ดังนั้นแล้วเพื่อให้สามารถบริหารต้นทุนที่มีมูลค่าสูงอย่างเวลาได้อย่างคุ้มค่า การปัก Benchmark SEO ให้ตรงเป้าจึงเป็นหัวใจสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้

เหตุผลสำคัญที่การปัก Benchmark คือสิ่งจำเป็นเมื่อลงมือทำ SEO แบบเน้นเป้าหมาย

  1. วัดผลความคืบหน้า ติดตามได้ว่าผลลัพธ์พัฒนาขึ้นอย่างไร
  2. สร้างเป้าหมายที่ชัดเจน รู้ทิศทางในการทำ SEO ให้ไม่ไขว้เขว
  3. ประเมินประสิทธิภาพตามความเป็นจริงอย่างมีข้อมูลรองรับ
  4. ปรับกลยุทธ์อย่างทันท่วงที เห็นจุดอ่อนจุดแข็ง ปรับตัวได้ไว
  5. จัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม บริหารความสำคัญได้อย่างแม่นยำ
  6. รายงานผลและสื่อสารได้อย่างราบรื่น สร้างความเข้าใจร่วมกันในทีมและองค์กร

หากเปรียบการทำ SEO เสมือนเป็นการเดินทางเพื่อไปถึงจุดหมาย Roadmap ของแต่ละธุรกิจจะสมบูรณ์และสมจริงมากขึ้นได้ก็ด้วยกลยุทธ์วางแผนเส้นทางข้างหน้าร่วมกับการทบทวนเส้นทางที่เดินทางผ่านมา นี้จึงเป็นเหตุผลที่กลยุทธ์ Lead และ Lag Metrics มีความสำคัญต่อการทำ SEO นั่นเอง

Lead Metrics คืออะไรใน Benchmark ของการทำ SEO 

Lead Metrics หรือ Driver Metrics คือตัวชี้วัดเพื่อมองการณ์ไกลและคาดคะเนผลลัพธ์ในอนาคต ยกตัวอย่าง Lead Metrics ในการทำ SEO เช่น 

  • Click-Through Rate (CTR)
  • Bounce Rate
  • Page Load Speed
  • Time On Page 
  • Page Per Session
  • Conversion Rate by Traffic Source
  • Indexed Pages
  • Inbound Links

Lag Metrics คืออะไรใน Benchmark ของการทำ SEO 

Lag Metrics หรือ Outcome Metrics คือตัวชี้วัดที่แสดงผลถึงผลลัพธ์จากการกระทำที่ผ่านมาในอดีตเพื่อช่วยให้สามารถประเมินและทบทวนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้ เช่น

  • Organic Traffic
  • Keywords Ranking
  • Conversion Rate
  • Domain Authority
  • Backlinks 

Lead vs Lag Metrics ต่างกันอย่างไร

สรูปใจความอย่างง่ายๆ Lead Metrics คือ ตัวชี้วัดที่มองไปยังผลลัพธ์ที่คาดหวังให้เกิดขึ้นในอนาคต ในขณะที่ Lag Metrics คือ ตัวชี้วัดที่ย้อนมองผลลัพธ์ที่ผ่านมาในอดีตว่าสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ความแตกต่างของตัวชี้วัดทั้ง 2 นี้สามารถเปรียบเทียบได้เป็นตารางดังนี้

AspectLead MetricsLag Metrics
TimingForward-looking, predictive indicatorsHistorical, retrospective indicators
FocusActionable insights for real-time adjustmentsResults and outcomes of past efforts
InfluenceDrive and influence future outcomesReflect the impact of past actions
PurposeIdentify potential issues and trendsEvaluate overall success and performance
ApplicabilityUsed for making proactive decisionUsed for assessing long-term impact
Example MetricsClick-Through Rate (CTR)
Bounce Rate
Page Load Speed
Mobile Traffic and Conversions
Indexed Pages
Inbound Links
Organic Traffic
Conversion Rate
Revenue
Keyword Rankings
Backlink Quality
Domain Authority
Conversion Rate by Traffic Source
Revenue/ROI
BenefitsEarly identification of potential issuesUnderstanding overall campaign effectiveness
Proactive adjustments to optimize strategiesDemonstrating long-term success
Real-time adaptability to trends
Identifying areas for improvement
Informing resource allocation

Lead และ Lag Metrics ช่วยสร้าง Benchmark ที่ตรงเป้าได้อย่างไร

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจมีคำถามในใจว่าการแบ่งตัวชี้วัดออกเป็น Lead และ Lag Metrics จะช่วยสร้าง Benchmark การทำ SEO ที่ตรงเป้าได้อย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดมากที่สุด คือการทำ SEO ในรูปแบบ Data-Driven Strategy ที่อาศัยทั้งข้อมูลเรียลไทม์และข้อมูลในอดีตเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังสร้างกรอบการทำงานที่วัดผลความพัฒนาไปพร้อมกับความสำเร็จ ได้แก่

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจมีคำถามในใจว่าการแบ่งตัวชี้วัดออกเป็น Lead และ Lag Metrics จะช่วยสร้าง Benchmark การทำ SEO ที่ตรงเป้าได้อย่างไร แน่นอนว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดมากที่สุด คือการทำ SEO ในรูปแบบ Data-Driven Strategy ที่อาศัยทั้งข้อมูลเรียลไทม์และข้อมูลในอดีตเพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังสร้างกรอบการทำงานที่วัดผลความพัฒนาไปพร้อมกับความสำเร็จ ได้แก่

  • การประเมินแบบองค์รวม (Holistic Assessment)
  • พร้อมปรับรับกับความเปลี่ยนแปลง
  • ตัดสินใจเชิงรุก
  • ปรับศักยภาพได้ในเรียลไทม์
  • ตอบรับกับเป้าหมายทางธุรกิจ
  • ติดตามความก้าวหน้าและการเติบโต
  • วิเคราะห์ประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าที่ Predictive เรามีบริการทำ SEO โดยทีมงานคุณภาพพร้อมซัพพอร์ตทุกก้าวย่างของการผลักดันเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมาสู่ธุรกิจของคุณ การทำงานของทีม SEO ที่พรีดิกทีฟจะครอบคลุมตั้งแต่

  • Strategy & Keyword Planning โดยการวางกลยุทธ์การทำ SEO ตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อให้ธุรกิจของคุณไปถึงฝั่งฝันด้วยแผนการทำ SEO ที่ customized มาเพื่อธุรกิจของคุณโดยเฉพาะพร้อมด้วยการวิเคราะห์ Keyword ด้วย Keyword Research รวมทั้งการทำ SEO Audit และ Competitive Analysis เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถลำดับความสำคัญและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • On-Page Optimization ตั้งแต่การ Audit Site Structure จัดทำ Template Guideline เพื่อวางแนวทางการทำ SEO ไปจนถึง SEO On-Page Optimization
  • Content Scope การผลิตคอนเทนต์คุณภาพเล่าถึง Brand Narrative เพื่อเพิ่ม Search Visibility ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • On-Page Improvement Implementations จัดทำ Template Guideline เพื่อให้การทำ SEO เกิดผลสำเร็จ
  • Off-Page Planning & Analysis ตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพการทำ Backlinks วิเคราะห์คู่แข่งเพื่อให้ธุรกิจของคุณอยู่เหนือกว่า รวมถึงวางแผนการทำ Backlinks ในอนาคต
  • Monitoring, Analysis, & Reporting การติดตามผลการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์สถานการณ์และผลลัพธ์การทำ SEO พร้อมรายงานผลสรุปเพื่อให้ธุรกิจของคุณเห็นภาพรวมทั้งหมดและสามารถ

ใครที่กำลังหนักใจกับ Organic Traffic ที่ไม่เพิ่มขึ้นสักที หรือ ต้องการที่จะทำอันดับเว็บไซต์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม หากต้องการทีม SEO คุณภาพมาช่วย Optimize เว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม สามารถติดต่อ Predictive เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย และเรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นฟรี