ทำไมเก็บ DAta และนำไปใช้ จึงช่วยลด Cost of Investment

ทำไมเก็บ Data และนำไปใช้ถึงช่วยลด Cost of investment ได้?​

องค์กรของคุณเสียค่างบยิง Ads ในปีที่แล้วไปเป็นเงินเท่าไหร่แล้วคะ ? 

เชื่อว่าคงมีคำตอบตั้งแต่หลักพัน จนถึงหลักสิบล้านกันเลยทีเดียว

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า การยิง Ads ไปตามช่องทางต่างๆ นั้นช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้มากขึ้น และแต่ละ Ad Platform ก็มี Pool Audience เป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้นักการตลาดสามารถเลือกตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ เช่น Facebook Ads , Google Ads เป็นต้น 

โดยสถิติแล้ว กว่าที่ลูกค้าจะเกิด Conversion จริง ต้องเห็นโฆษณา (Ads) อย่างน้อย 3 ครั้ง นั้นแปลว่าหากยิ่งแบรนด์ต้องการ Conversion มากเท่าไหร่ ก็ต้องลงทุนมากขึ้นเท่านั้น หรือที่เรียกว่า High Invest, High Return นั่นเอง ซึ่งแม้จะได้มีลูกค้าเข้ามาบ้าง แต่ก็ต้องเสียเงินค่ายิง Ads ตลอด หากหยุดยิง Ads ลูกค้าก็หายไปในพริบตา 

ธุรกิจจึงควรเร่งปรับตัวตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างการลงทุนที่คุ้มค่ากับผลลัพธ์ที่จะได้มา นั่นก็คือการเริ่มต้นเก็บ — วิเคราะห์ — นำ “ข้อมูล” ไปใช้ตั้งแต่วันนี้ โดยการลงทุนเก็บ First Party Data เช่น 

  • Demographic : เพศ อายุ ที่อยู่ Email
  • เข้ามาจากช่องทางไหน (Source / Medium) : SEM , Google , Display , Facebook Ads 
  • เข้ามาทำอะไรบนเว็บไซต์ (Behavioral Data) : พฤติกรรมของลูกค้าที่ใช้งานเว็บไซต์
  • เข้ามาเว็บไซต์ด้วยคำ Keyword ว่าอะไร 
  • Transaction Data : ซื้ออะไรไปบ้าง , Basket Size 

และเมื่อมี First Party Data แบรนด์จะสามารถลด Cost of Investment อย่างไรได้บ้าง? 

1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ไม่ต้องหว่านแห

เมื่อแบรนด์มีข้อมูลของลูกค้า แบรนด์สามารถส่งมอบ Right Product to the right people at the right time โดยไม่ต้องทำการตลาดเพื่อเป็นทุกอย่าง เพื่อทุกคนอีกต่อไป เราสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์แต่ละแคมเปญและเลือกสื่อสารเฉพาะกลุ่ม หรือสื่อสารแบบตัวต่อตัวได้เลย (Personalization) ซึ่งการสื่อสารแบบนี้ ทำให้ไม่ต้องอัดงบไปกับคนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มจำนวน Conversion Rate ให้สูงขึ้นอีกด้วย 

2. รู้ Stage ของลูกค้า ทำให้ Optimize ได้ดีกว่าเดิม : 

เราจะรู้ได้ยังไงว่า ควรที่จะยิง Ads เพื่อ reappoach ลูกค้าเมื่อไหร่ และ ยิง Ads ไปหาลูกค้าคนเดิมได้ถึงเมื่อไหร่ ?​ ซึ่งหากเรารู้ข้อมุลในส่วนนี้ เราสามารถ Optimize Ads ให้ดีขึ้นเพื่อลด Cost ได้ 

ยกตัวอย่างเช่น หากสินค้าของเราเป็นนมผง แบรนด์สามารถคำนวณคร่าวๆ ได้ว่า นมผง 1 กระปุกทานหมดในกี่เดือน เช่น 1 กระปุก ทานได้ 3 เดือน แบรนด์ก็ค่อยยิง Ads เพื่อ reappoach ทุกๆ 2 – 2 เดือนครึ่ง ก็สามารถวางแผนยิง Ads ได้ดีขึ้น ไม่บ่อย และ ไม่ห่างเกินไป 

นอกจากนั้น ปกติแล้ว นมผงจะขายให้กับคุณแม่ได้เป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่การซื้อครั้งแรก ซึ่งล้อตามพัฒนาการของเด็ก ทำให้เมื่อถึงเวลาครบ 6 ปีแบรนด์สามารถ Exclude คนกลุ่มนี้ออกจาก Audience ได้ เพราะเขามีแนวโน้มจะไม่ซื้ออีกแล้ว เป็นต้น ทำให้แบรนด์สามารถ Optimize และ ประหยัดค่าโฆษณาได้เพิ่มเติม 

3. สื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านตัวกลาง (Direct to consumer)

เมื่อมีข้อมูลลูกค้า เช่น อีเมล หรือ เบอร์โทรแล้ว แบรนด์สามารถออกแบบระบบ Customer Relationship Management เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเก่าได้โดยตรง 

อย่างที่ทราบกันดีว่า ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ นั้นสูงกว่าการเข้าถึงลูกค้าเก่าถึง 5 เท่า ฉะนั้นแบรนด์สามารถเอาข้อมูบส่วนนี้ไปส่งมอบประสบการณ์พิเศษได้รายบุคคล เช่น ส่วนลดพิเศษในสินค้าที่ลูกค้าท่านนั้นสนใจ , ให้ทดลองสินค้าใหม่ก่อนใคร ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยมัดใจลูกค้า เพิ่ม Retention Rate และเพิ่ม Customer Lifetime Value ในระยะยาว ไม่ต้องเสียเงินไปหาลูกค้าใหม่ตลอดเวลา

อ่านเพิ่มเติม : กุญแจการสร้าง Customer Relationship Management ให้ประสบความสำเร็จ เพิ่มความ Loyalty และการบอกต่อ ได้ที่นี่

4. ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า เพื่อเพิ่ม Conversion rate

อีกหนึ่งทางในการลด Cost of Investment ก็คือ การเพิ่ม Conversion Rate เพราะแม้เราจะใช้เงินเท่าเดิมในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า แต่เราได้จำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้เราเข้าถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นโดยใช้จำนวนเงินทำเดิม 

ซึ่งแบรนด์สามารถนำ First Party Data เช่น Behavioral Data จาก Google Analytics เพื่อดูพฤติกรรมของคนที่เข้ามาบนเว็บไซต์ เพื่อระบุจุดที่เว็บไซต์มีปัญหา เช่น มี Bounce Rate ที่สูง เพื่อทำการแก้ไขต่อไป รวมถึงมีการทำ A/B Testing เพื่อทดสอบแต่ละองค์ประกอบ / เวอร์ชันของเว็บไซต์ให้ดีขึ้น

อ่านเพิ่มเติม : Conversion Rate ต่ำ ทำยังไงดี?​ ได้ที่นี่

นี่เป็นเพียง 4 ตัวอย่างเบื้องต้น ที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของข้อมูลที่ช่วยลด Cost of Investment ในระยะยาว แต่จริงๆ แล้วข้อมูล First Party Data ยังมีประโยชน์อีกเยอะ และช่วยให้แบรนด์สามารถอยู่รอดในยุคของ Data Privacy ได้อีกด้วย 

หากแบรนด์ของคุณต้องการลด Cost of Investment ในระยะยาว ติดต่อให้ Predictive ช่วยวางแผน End to End Solution ด้านข้อมูล ตั้งแต่ เก็บ – รวบรวม – จัดการ – นำข้อมูลไปใช้ ตามหลักการ PDPA และ GDPR ตั้งแต่วันนี้ 

เราได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ Telco, Bank, Insurance, Retail, Real Estate, Airline, Media Publishers ซึ่งเราช่วยลูกค้าวางแผนใช้ data ได้ดีขึ้น เอา data ไปปรับปรุง Customer Experience ต่อหรือแม้แต่สร้าง product หรือหาตลาดใหม่ขึ้นมา เพราะเราสามารถวิเคราะห์ผู้ใช้งานได้อย่างละเอียดเรารู้ว่าความต้องการของลูกค้าอะไร สุดท้ายเราวัดที่ ROI ว่าลงทุนไปแล้วได้อะไร