จากบทความที่แล้ว เราได้มีการพูดถึง “11 เทรนด์การออกแบบ UX/UI ที่มาแรงในนยุคนี้” และ “8 เหตุผลทำไมต้องใช้ WordPress ในปี 2023” เพื่อให้ผู้อ่านเห็นถึงความสำคัญของการมีรูปแบบและหน้าตาเว็บไซต์ที่สามารถดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายที่จะกลายมาเป็นลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมมากขึ้น บนแพลตฟอร์ม CMS ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกันไปแล้ว
ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกถึงตัว Landing Page (เว็บไซต์ที่มีหน้าเดียว) ที่ทุกธุรกิจต้องมีแยกออกมาจากเว็บไซต์หลัก เพื่อสร้าง Conversion เก็บ Lead และนำ Lead ที่ได้มาเข้าสู่กระบวนการการเป็นลูกค้าต่อไป ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึง 11 กฎเหล็กที่ Landing Page ควรทำ เพื่อให้องค์กรสามารถสร้าง Conversion ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรามาทำความรู้จักกับ Landing Page กันก่อน ว่าทำไมทุกองค์กรควรต้องมีและมีเพื่อจุดประสงค์อะไร ถ้าพร้อมแล้วไปลุยกันเลยครับ
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
Landing Page คืออะไร ทำไมต้องมี ?
Landing Page คือหน้าเว็บไซต์ที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ โดยการเปลี่ยนให้ผู้เข้าชมกลายมาเป็น Lead นั่นเอง ซึ่งหน้า Landing Page จะมี Lead Form เพื่อขอข้อมูลการติดต่อของผู้ที่เข้ามาในเว็บไซต์เพื่อแลกกับข้อเสนอ สิทธิพิเศษ หรือ สิ่งที่มีมูลค่าต่างๆ เช่น คูปองส่วนลดสำหรับการเข้าใช้งานครั้งแรก, การลงทะเบียนรับสิทธิ์ในการนวดสปาฟรี 1 ครั้ง หรือแม้แต่รายงานข้อมูลเชิงลึกทางการตลาดประจำไตรมาส
อยากให้ผู้อ่านลองคิดตามว่าตัวคุณเองรู้สึกหวงแหนข้อมูลส่วนบุคคลของคุณมากแค่ไหน และ อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกอยากแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณบนโลกอินเทอร์เน็ตกันล่ะ — นี่จึงเป็นที่มาของการมีหน้า Landing Page ที่ตรงจุดประสงค์ ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี มีรูปแบบที่ชัดเจนและข้อความที่น่าเชื่อถือ ที่จะเข้ามาช่วยทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกอยากแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง โดยไร้ข้อกังขาใดๆ
คำถามต่อมาที่ผู้อ่านอาจจะยัง “เอ๊ะ” อยู่ คือ ทำไมเราต้องสร้างหน้าเว็บไซต์พิเศษนี้ขึ้นมาแค่เพื่อให้คนเข้ามากรอกแบบฟอร์มล่ะ — เรามาดู 3 เหตุผลในการสร้างหน้า Landing Page เพื่อคลายข้อสงสัยนี้ไปพร้อมๆกันครับ
- ช่วยขจัดสิ่งรบกวน (Distraction) ต่างๆ เช่น การชี้นำทางไปสู่หน้าอื่นๆ, ลิงก์ของหน้าอื่นๆบนเว็บไซต์เดียวกัน รวมไปถึงตัวเลือกอื่นๆ
- ช่วยดึงดูดความสนใจ (Attention) ของผู้เข้าชมได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหมายความว่าเราจะสามารถนำทางพวกเขาไปยังจุดที่เราต้องการได้ทันที เช่น การกดปุ่ม Call-to-action ไปที่ Lead Form เพื่อกรอกรายละเอียดต่างๆ
- ช่วยสร้างโอกาสในการขาย (Conversion) โดยการหา Lead เพิ่มในขณะที่ดึง Lead ที่มีประะสิทธิภาพให้เข้าสู่ช่องทางของการเป็นลูกค้า (Customer Funnel) ต่อไป
หลังจากที่เราได้เข้าใจถึงความสำคัญของ Landing Page แล้ว เรามาเจาะลึกถึงกฎเหล็กต่างๆเพื่อนำไปเป็นแนวทางปฏิบัติในการสร้าง Landing Page ที่ดี เพื่อให้แน่ใจว่าหน้าเว็บไซต์พิเศษนี้จะได้รับ Conversion ตามที่คาดหวังไว้ ถ้าพร้อมแล้วเลื่อนลงไปอ่านกันต่อเลย
11 กฎเหล็กสำหรับ Landing Page ที่ดี
1. เน้นผลประโยชน์ตั้งแต่บรรทัดแรก (Benefit-focused headline)
ค่าเฉลี่ยโดยทั่วไป ทุกๆ 10 คนที่กดเข้ามาในหน้า Landing Page ต้องมีอย่างน้อย 7 คนที่เลือกจะกดออกจากหน้านั้น ดังนั้นเพื่อทำให้อัตราการกดออก (Bounce Rate) ลดลง คนที่เลือกกดเข้ามาจะต้องรู้และเข้าใจได้เลยทันทีว่ามีอะไรอยู่ในนั้นในระยะเวลาไม่กี่วินาที พาดหัวบน Landing Page คือสิ่งแรกที่พวกเขาจะอ่าน เราจึงควรสื่อสารถึงสิ่งที่ผู้เข้าชมจะได้รับอย่างชัดเจนและกระชับที่สุด
2. ใช้รูปภาพสื่อถึงความรู้สึกหลังได้รับข้อเสนอ (Illustrates the offer)
รูปภาพเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ขาดไปไม่ได้เลย เนื่องจากรูปภาพทำหน้าที่เสมือนตัวแทนกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาบนเว็บไซต์ โดยจุดประสงค์คือเพื่อสื่อถึงความรู้สึกของผู้เข้าชมว่าจะรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาได้รับข้อเสนอของเรา ซึ่งภาพบางภาพอาจทำงานได้ดีกว่าภาพอื่นๆ ดังนั้นเราควรมีการทดสอบในรูปแบบต่างๆอยู่เสมอ
3. เขียนข้อความที่ชัดเจนและน่าสนใจ (Compelling copy)
อย่าใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสร้างพาดหัวที่สมบูรณ์แบบ หรือ การค้นหาภาพในอุดมคติเพื่อช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของผู้เข้าชม สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการที่ข้อความของเราจะต้องชัดเจน กระชับ และควรมีการนำทางผู้ใช้ให้ดำเนินการไปยังขั้นตอนตามที่เราต้องการจนถึงขั้นตอนสุดท้าย โดยที่สื่อสารกับผู้เข้าชมอย่างตรงไปตรงมาโดยใช้คำว่า “คุณ (You)” และ “ของคุณ (Your)” เพื่อทำให้พวกเขารู้สึกมีส่วนร่วมมากขึ้น แทนที่จะใช้สรรพนามที่สื่อถึงบุคคลที่สาม อย่าง “ลูกค้า (Customer)” และ “ของลูกค้า (Customer’s)” ซึ่งทำให้รู้สึกไกลตัว
4. ใส่ Lead form ให้เห็นตั้งแต่เข้ามา (Lead form above the fold)
หาก Lead ต้องการจะ Convert ในทันทีที่เข้ามาบนหน้าเว็บไซต์ Lead Form ของเราต้องเข้าถึงได้ง่าย ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการที่จะค้นหาและสแกนทั้งหน้า Landing Page เพื่อหาข้อเสนอ เนื่องจากพวกเขาจะรู้สึกยุ่งยากและเสียเวลา คำว่า “ครึ่งหน้าบน (Above the fold)” หมายความว่าผู้ใช้ไม่ต้องเลื่อนลงไปเพื่อไปที่แบบฟอร์ม คือเข้ามาแล้วสามารถเห็นได้ทันที ซึ่งนอกจากแบบฟอร์ม อาจเปลี่ยนเป็นลิงก์ที่กดแล้วแบบฟอร์ม Pop-up ขึ้นมา หรือ ออกแบบให้ฟอร์มเลื่อนไปพร้อมกับผู้ใช้เมื่อเลื่อนหน้าลงมา เพื่อที่สามารถทำการกรอกได้ตลอดเวลา
5. มี Call-to-action ที่เข้าใจง่าย โดดเด่น และทำตามได้ทันที (Clear and stand out CTA)
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปุ่ม Call-to-action เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดบนหน้า Landing Page ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิด Conversion ซึ่งปุ่ม CTA นั้นต้องมีความโดดเด่น มีสีที่ตัดกับองค์ประกอบอื่นๆบนหน้า และมีคำอธิบายให้ชัดเจนว่าเราต้องการให้ผู้เข้าชมทำอะไร เช่น ส่ง (Submit), ดาวน์โหลด (Download) หรือ รับสิทธิ์ตอนนี้ (Get it now)
6. ให้ข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังจะขาย (Relevant offer)
หน้า Landing Page ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของ Lead เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอของสินค้าหรือบริการที่จัดเตรียมไว้ให้นั่นเอง ข้อเสนอในที่นี้คือสิ่งที่เราให้ Lead เพื่อแลกกับข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขา ซึ่งสิ่งที่ให้ก็ควรเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วย สมมติว่าเราขายเซรัมเติมน้ำให้ผิว ข้อเสนออาจเป็น “5 วิธีง่ายๆ ในการเลือกเซรัมให้เหมาะกับสภาพผิวของคุณ” และไม่ควรเป็นหัวข้ออื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะสุดท้ายแล้ว เป้าหมายคือการให้ Lead มาซื้อเซรัมอยู่ดี
7. ขอเฉพาะข้อมูลที่ต้องการจริงๆ (Only necessary information)
ถึงแม้ว่าเราจะต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ Lead ให้ได้มากที่สุด แต่ข้อมูลที่เราสามารถถามจริงๆนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น พวกเขารู้จักแบรนด์เรามากน้อยแค่ไหน และ สามารถไว้วางใจได้มากเพียงใด ดังนั้นเราควรเลือกขอข้อมูลที่จำเป็นจริงๆที่ต้องการในแบบฟอร์มเพื่อเพิ่มจำนวนการเข้าถึง เพียงแค่ชื่อและอีเมล์ก็เพียงพอแล้วสำหรับการรักษา Lead ใหม่
8. ลบการนำทางไปหน้าอื่นออกให้หมด (Remove all navigation)
ห้ามลืมเด็ดขาดว่าหน้า Landing Page ของเรามีไว้เพื่อจุดประสงค์เดียวเท่านั้น คือ เพื่อเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายมาเป็น Lead ดังนั้นเราไม่ควรมีลิงก์ภายในอื่นๆที่จะมาดึงความสนใจให้ผู้ใช้กดออกจากหน้า Lead Form ของเรา ลบลิงก์อื่นๆบนหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ผู้เข้าชมหันมาโฟกัสที่ Call-to-action ของเราอย่างเต็มที่
9. สามารถแสดงผลบนหน้าจอขนาดต่างๆได้ (Make your page responsive)
สิ่งสำคัญในยุคนี้คือการหน้า Landing Page ของเราสามารถรองรับทุกประสบการณ์การรับชมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นบนคอมพิวเตอร์ มือถือ และ แท็บเล็ต ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชม Convert ได้ตลอดไม่ว่าพวกเขาจะดูหน้าเว็บของคุณอย่างไร หรือ จากอุปกรณ์ใดก็ตาม
10. เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา (Optimize for search)
เราอาจจะดึงดูดผู้เข้าชมให้เข้ามายังหน้า Landing Page ของเราผ่านทางอีเมล์ โซเชียลมีเดีย หรือ ช่องทางอื่นๆ แต่สุดท้ายแล้วหน้า Landing Page ควรมีการ Optimize ให้เหมาะสมด้วยคีย์เวิร์ด หรือวลีทั้งแบบกว้างและเจาะจงสำหรับแคมเปญ SEM (ซื้อคำโฆษณาใน Google Ads) และ SEO (ใช้คีย์เวิร์ดที่สามารถดันให้หน้าเว็บขึ้นหน้าแรกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย) เมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ พวกเขาควรเจอหน้า Landing Page ของเรา ในขณะเดียวกันคีย์เวิร์ดเหล่านั้นก็ควรมีอยู่บนหน้า Landing Page ด้วย
11. แสดงหน้าขอบคุณเสมอหลังกรอกข้อมูลสำเร็จ (Use a thank you page)
หน้าขอบคุณ (Thank you page) คือหน้าปิดท้าย Journey หลังจากที่ Lead กรอกแบบฟอร์มของเราเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นการขอบคุณที่พวกเขาให้ความสนใจ ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ Lead เหล่านี้ตัดสินใจเป็นลูกค้าต่อในระยะยาว
หลังจากที่ได้อ่านกันจนทาถึงตรงนี้แล้ว ทุกคนจะเห็นได้ว่าการสร้าง Landing Page ขึ้นมาซักหนึ่งหน้าต้องผ่านการเตรียมการและการวางแผนกลยุทธ์มาเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจุดประสงค์เดียวของการมี Landing Page คือการสร้าง Conversion แต่การทำให้ผู้เข้าชมสามารถคล้อยตามและตัดสินใจกรอก Lead Form นั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจในพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างมาก
สำหรับใครที่กำลังมองหาทีมผู้เชี่ยวชาญที่สามารถรังสรรค์หน้า Landing Page เพื่อเพิ่ม Conversion โดยไม่เพียงแต่เข้าใจถึงความต้องการของผู้ใช้และตอบโจทย์ธุรกิจ แต่ยังมีหน้าตาสวยงาม ใช้งานง่าย และสามารถเซ็ตระบบให้เก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง นำไปใช้ต่อได้ สามารถคลิก “ติดต่อ Predictive” ด้านล่างนี้ได้เลยครับ เรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
Get in touch
Let's work together!
"*" indicates required fields