ตกลง Data สำคัญกับงาน Creative หรือไม่ ถึงเวลาที่ต้องหยุดเถียงกันแล้ว

คุณอาจจะเคยได้ยิน Creative หลายๆคนพูดถึง Data กันอย่างหลากหลายความเห็น ซึ่งความเห็นเหล่านั้นถูกแบ่งออกได้เป็น 2 ฝั่งหลักๆคือ “Data จำเป็นกับการทำ Creative” หรือ “Data ไม่จำเป็นกับการทำ Creative” ที่มีความเห็นออกมาเป็นสองฝั่งแบบนี้ก็เพราะว่า Data มีหลายประเภทและที่พวกเขาเหล่านั้นกำลังพูดถึงมันไม่ใช่ Data เดียวกันอย่างไรหล่ะ มาดูกันว่าชาว Creative ควรนำ Data ไปใช้อย่างไร 

เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ

ประเภทของ Data

ก่อนที่เราจะพูดถึงความสำคัญของการนำ Data มาใช้ในงาน Creative เราอยากให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกันก่อนว่า Data ที่เราจะพูดถึงวันนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. Internal Data ที่เป็นข้อมูลจากภายในบริษัทเอง เช่น Transactional Data
  2. External Data ที่เป็นข้อมูลที่มาจากนอกบริษัท เช่น Social Listening

โดยจะมีรายละเอียดดังนี้

Internal Data

เป็นข้อมูลที่จะช่วยวางกลุ่มเป้าหมาย และทำ Target ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนกับการที่เราตกลงกับตัวเองให้แน่ใจก่อนว่า เราอยากพูดกับใคร”  ซึ่งจะมี Internal Data จากหลากหลายที่มา ไม่ว่าจะเป็น Google, SEM, SEO

Internal Data หลักๆที่ Predictive อยากให้ทุกคนลองวิเคราะห์ดูเบื้องต้นมี 4 ประเภท ได้แก่

  1. First party data ของเรา ไม่ว่าจะเป็นจาก Google Analytics หรือ Persona หาให้เจอว่า Community ของเราอยู่ไหน Demographic และ Geographic เป็นยังไง และมี Behavior แบบไหน 
  2. First Party Data ของคู่แข่ง: ไม่ใช่ข้อมูลหลังบ้านของคู่แข่ง แต่เป็นข้อมูลที่เข้ามาช่วยเราวิเคราะห์คู่แข่งได้ เช่น Community ของคู่แข่งอยู่ที่ไหน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คนเหล่านั้นไม่มาเป็นลูกค้าเรา มีเครื่องมือที่จะช่วยเราได้หลายตัว อย่างเช่น 
    • Ahrefs ที่จะช่วยวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่ง วิเคราะห์คีย์เวิร์ดและคอนเทนต์ พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบ Backlink ของเราและคู่แข่งได้ ดูว่าอันไหนที่ไม่เหมือนกันบ้างทำให้เราไม่ต้องไปเสียเวลาสร้าง Backlink ซ้ำ และติดตามอันดับของเว็บไซต์คุณ
    • SEMrush ที่จะบอกว่าคีย์เวิร์ด 10 อันดับแรกมีอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ หรือคีย์เวิร์ดที่คู่แข่งกำลังเลือกใช้อยู่ เพื่อให้คุณสามารถนำไปสร้างคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพ ติดตามอันดับของเว็บไซต์,วิเคราะห์ภาพรวมและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของ Backlink ได้อีกด้วย 
    • และเครื่องมือทั้งสองตัวที่เราแนะนำไปก็สามารถดูได้ว่า เมื่อคนมาเสิร์ชด้วย Keyword ที่เราสนใจ เช่น เสิร์ชหา “น้ำหอม” แล้ว Traffic ไปที่เว็บไหนมากกว่ากัน
  3. ปริมาณคนที่เข้ามาใช้ในเว็บไซต์เป็นอย่างไร จำนวนลูกค้าเก่าและลูกค้าเก่าเป็นอย่างไร
  4. Facts ที่เกิดขึ้น ที่ได้มาจาก Transactional Data (Sale-Data) เช่น ภาค/จังหวัดอะไรที่เข้ามาซื้อของเรา, Packaging แบบไหนขายดีสุด งาน Event ประเภทไหนที่เราไปแล้วช่วยเพิ่มยอดขาย หรือ Engagement ได้ดี หรืองาน Event ประเภทไหนเหมาะจะนำสินค้า Category ไหนไปขาย

นอกจากนี้ Internal Data ยังมาจากการสัมภาษณ์ได้อีกด้วย แต่เป็นการสัมภาษณ์พนักงานในบริษัทของเราเอง อาจจะเป็นคำถามอย่างเช่น “จากประสบการณ์ที่ผ่านมา คิดว่าสินค้าประเภทไหนขายดีที่สุด เพราะอะไร” “คิดว่าเพราะอะไร ทำไมลูกค้าถึงตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าของเรา”

External Data

บอกกับเราได้ว่า “เค้าอยากฟังเรื่องอะไร” ใช้เพื่อเป็นแนวทางในการทำ Creative Campaign ต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยที่เราไม่ต้องมานั่งจินตนาการไปเองว่าต้องพูดเรื่องไหนนะคนถึงจะถูกใจ ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น

  • Trends ต่างๆ
  • Social Listening 
  • Sentiment Data (Perception) มาจากการสัมภาษณ์ เช่น ความรู้สึกต่อแบรนด์หรือแคมเปญ (Customer Perceive) หรืออาจจะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสื่อต่างๆที่พูดถึงเรา เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าโลกภายนอกมี Perception ต่อเราอย่างไร

หลายๆบริษัทมักจะมีความเชื่อว่า “ลูกค้าจะ Engage กับความ Creative” แต่จริงๆแล้วเราควรจะไปดูว่า ลูกค้าพูดถึงเราว่าอย่างไรบ้าง Customer Insight ที่บอกเราได้ว่าลูกค้าสนใจ Content ประเภทไหนของเราเป็นพิเศษเช่น ถ้าคุณกำลังสงสัยว่าคนที่ตามเพจอยู่สนใจคอนเทนต์ในรูปแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่าง คอนเทนต์ที่เป็นบล็อค หรือคอนเทนต์วิดิโอ ก็ลองดู Data หลังบ้านของคุณแล้วนำมาเป็นแนวทางในการทำคอนเทนต์ในอนาคตต่อไป 

สรุป

ทาง Predictive ขอแนะนำว่าการทำ Creative ไม่ควรเลือกใช้ Data แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง (Internal Data or External Data) แต่ควรใช้ทั้งสองอย่างไปด้วยกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะ Internal Data จะบอกเราว่า ใครที่รอฟังเราพูดอยู่ และ External Data จะบอกเราว่า พวกเขากำลังอยากฟังเรื่องอะไร ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าพวกเราที่ตั้งใจจะทำ Content แต่ผลลัพธ์ออกมาเป็น “เราพูดเรื่องที่เราอยากพูด แต่ไม่มีใครอยากฟัง” หรือ “พูดเรื่องที่น่าสนใจ แต่กลับไปไม่ถึงคนฟัง”

เรื่องของ Data นั้นเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการวาง Strategy หากเป้าหมายของบริษัทของคุณคือการเติบโตอย่างแข็งแรงและมั่นคง Predictive สามารถช่วยได้ตั้งแต่ขั้นตอนการวาง Strategy จนถึงการนำข้อมูลไป Activation เลย เรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อเข้ามาได้เลย