นักการตลาดหลายๆคนอาจจะทำงานยากขึ้นในยุคที่ User-Privacy ต้องมาเป็นอันดับ 1 และด้วย Safari 17 beta จาก Apple ที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอยู่แล้ว ก็ได้ออก Feature ใหม่ที่ดูจะเข้าใจยากเสียจริงๆ นั่นก็คือ ”การบล็อค parameter” แต่ถ้า Block Parameter แล้ว Digital marketing จะทำงานยังไง? วันนี้เราจะมาอธิบายกลไกลการเก็บข้อมูลแบบใหม่นี้ พร้อมทั้งวิธีรับมือให้ทุกคนกันครับ
เลือกอ่านหัวข้อที่คุณสนใจ
ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า Parameter มีกี่แบบในมุมมองของ Apple
- UTM Parameter: ที่ใช้ระบุ Traffic Source ที่นักการตลาดคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ซึ่งไม่สามารถระบุตัวตนของ Individual User ได้ โดยใช้เพื่อวัดผลต่างๆทางการตลาด สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถคลิกอ่านได้ที่นี่เลยนะครับ
- Custom Tracking: DCLID / GCLID / FBCLID: ที่ Facebook และ Google ใช้เพื่อ Track User แต่ละคน (Individual Tracking) ซึ่งจะระบุแหล่งที่มาแบบละเอียดยิบ ใช้เป็น First-party Cookie ของแพลตฟอร์ม สำหรับนำไปสร้างแบบจำลองข้อมูลและกลุ่มเป้าหมายสำหรับใช้ในแพลตฟอร์มของตัวเองต่อไป
ซึ่ง Apple ก็พุ่งเป้าไปที่ตัว Custom Tracking นี้แหละครับ
Parameters ที่จะไม่ถูก Tracking ใน Private mode ของ Safari 17 Beta
- gclid – Google AdWords / Google Analytics
- dclid – Google Display Network
- fbclid – Facebook Advertising
- twclkd – Twitter Advertising
- msclkid – Microsoft Advertising
- mc_eid – Mailchimp
- igshid – Instagram
Parameters ที่จะยังคง Tracking ตามปกติใน Private mode ของ Safari 17 Beta
- UTM’s – Urchin Tracking Module
- pk_* – Piwik
- piwik_* – Piwik
- mtm_* – Matmo
- hsa_* – Hubspot
- epik – Pinterest
- ef_id – Adobe Advertising Cloud
- s_kwicid – Adobe Analytics
- dm_i – dotdigital
- _branch_match_id – Branch
- mkevt – eBay
- campid – eBuy
- si – Spotify
- _bta_tid – Bronto
- _bta_c – Bronto
สรุป
- ✅UTM เป็น Tracking Parameters ใช่ไหม [ใช่]
- ❌UTM อนุญาติให้ Tracking Individual users หรือ click ใช่ไหม [ไม่]
- ❌Apple ตั้งใจจะพุ่งเป้ามาจัดการกับ UTM ใช่หรือไม่ [ไม่]
แต่ว่า
- ✅DCLID/GCLID/FBCLID เป็น Tracking Parameters ใช่หรือไม่ [ใช่]
- ✅DCLID/GCLID/FBCLID อนุญาติให้ Tracking Individual users หรือ click ใช่ไหม [ใช่]
- ✅Apple ตั้งใจจะพุ่งเป้ามาจัดการกับ DCLID/GCLID/FBCLID ใช่หรือไม่ [ใช่]
ทีนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับนักการตลาดก็คือ
- ✅ยังคงสามารถเก็บ UTM Parameters ได้เหมือนเดิม (Source / Medium / Campaign)
- ✅สามารถนำ Audiences ที่ได้จากเว็บไซต์มา Retarget ได้
- ❌ไม่สามารถนำ Audiences ที่เก็บจาก Third-Party Data มา Retarget ได้ (Retarget ด้วย Facebook หรือ Advertise Tools ต่างไม่ได้ เพราะ Private mode ไม่ได้เก็บ User ID มาให้)
ควรจะต้องรับมืออย่างไร ?
- เก็บ First-Party Data ให้ได้มากที่สุด โดยทำ Data Collectionในทุกๆ Touchpoint ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Website, Line OA, หรือแม้กระทั่ง Offline Touchpoint
- เก็บ User ID ของแบรนด์เอง เช่น ตอนที่ลูกค้า login เข้ามา เราต้องพยายามเก็บ Member ID ไว้ เพื่อดูว่าลูกค้าคนนี้มีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับแบรนด์บ้าง
หากใครกำลังเจอปัญหานี้ หรืออยากวาางแผนรับมือ สามารถติดต่อ Predictive เพื่อวางแผนการเก็บข้อมูลให้สามารถนำไปใช้ Retargeting ได้ เรายินดีให้คำปรึกษาเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถติดต่อเข้ามาได้เลยครับ
Get in touch
Let's work together!
"*" indicates required fields